น้ำเสียงที่อ่อนโยนของฉินซีพูดขึ้น: “ใช่ ฉันมีเรื่องที่สำคัญมากๆเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับความปลอดภัยของฉันกับลู่เซิ่น อยากมอบให้อยู่ในมือของนาย เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ความอดทนและความเด็ดขาดอย่างเต็มที่ นายทำได้ไหม?”
เธอตั้งใจแสร้งทำท่าทีเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจัง
ในทันทีโจวซิงก็รู้สึกถึงภาระที่อยู่บนบ่า หนักอึ้งไม่น้อยเลย
เขาเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง: “ฉินซี เธอสั่งมาได้เลย ฉันทำได้แน่นอน!”
แม้ฉินซีจะอยู่แสนไกล มองไม่เห็นสีหน้าท่าทางของโจวซิง แต่กลับรู้สึกได้จากในน้ำเสียงถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของโจวซิง
เธอยิ้มด้วยความพึงพอใจ: “ฉันกับลู่เซิ่นจะเริ่มหลบหนีแล้ว เส้นทางนี้ลำบากยากเข็ญ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เจอกับพวกนายอีก จ้านเซินที่ด้านนั้นเอาแต่สืบหาตำแหน่งของฉันกับลู่เซิ่น ตอนนี้พวกเราต้องการใครสักคนที่สามารถเป็นผู้นำควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดที่เมืองไห่ได้ จับตาดูการเคลื่อนไหวของจ้านเซิน แล้วรายงานพวกเราได้ตลอดเวลา”
ฉินซีตั้งใจพูดเรื่องให้จริงจังสักหน่อย เพื่อให้โจวซิงรู้สึกว่า เรื่องนี้สำคัญมากจริงๆ
“โจวซิง นายคิดดู ถ้านายกับโจวเอ้อออกมาด้วยกัน งั้นก็ไม่มีใครสามารถจับตาดูร่องรอยของจ้านเซินได้น่ะสิ ถึงตอนนั้นถ้าจ้านเซินถือโอกาสตอนที่ไม่ทันระวังตัว โอบล้อมพวกเราเข้ามา พวกเราจะทำยังไง? ดังนั้น ตอนนี้ภาระที่แบกอยู่บนร่างกายของนายหนักมาก ไม่แน่ว่าจ้านเซินอาจจะมาหาถึงที่ได้ทุกเมื่อ ไปถามนายเรื่องตำแหน่งของฉันกับลู่เซิ่น นายเคยคิดดูไหม ถึงตอนนั้นนายควรทำยังไงถึงจะเอาตัวรอดจากจ้านเซินได้”
ฉินซีพูดอย่างชัดเจน ถึงน้ำเสียงจะสงบนิ่ง แต่กลับชวนให้ครุ่นคิด
คำพูดของเธอ เคาะระฆังเตือนภัยของโจวซิงให้ดังขึ้น
โจวซิงค่อนข้างเสียใจที่ไม่รอบคอบ การกระทำเมื่อครู่ของตนเองบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ
เขากัดฟัน: “ฉินซี ผมเข้าใจความหมายของคุณแล้ว”
ฉินซีไม่เหมือนกับโจวเอ้อ ที่ปฏิเสธในทันที แต่กลับใช้วิธีที่ปฏิเสธอ้อมๆ ทำให้โจวซิงเข้าใจ ว่าตอนนี้เขาควรจะทำอะไรที่สุด
โจวซิงครุ่นคิดตามคำพูดของฉินซี แล้วก็ยอมรับเรื่องนี้อย่างง่ายดายมากขึ้น ไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านอีกด้วย
เมื่อสำเร็จตามต้องการแล้ว ฉินซีก็ไม่ได้พูดอะไรมาก: “นายเข้าใจก็ดีแล้ว”
ฉินซียิ้มพูดขึ้น: “นายกับโจวเอ้อสำคัญเหมือนกัน ฉันหวังว่าหลังจากผ่านเรื่องนี้ไป จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของนายนะ”
คำพูดให้กำลังใจของเธอ ทำให้โจวซิงรู้สึกมีความฮึกเหิมในการทำงานขึ้นมาในใจทันที
โจวซิงพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง: “ฉินซี คุณสบายใจได้ ไม่ว่าผมจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไร ผมกับพวกคุณก็ยังเป็นพวกเดียวกัน เพียงแค่พวกคุณต้องการผม ก็สามารถเรียกใช้ผมได้ตลอดเลย”
จริงๆเขาก็ไม่ได้อะไร เพียงแค่ต้องแยกจากฉินซีกับลู่เซิ่นแล้ว จึงรู้สึกเสียใจและอาลัยอาวรณ์เท่านั้น
เหมือนกับที่เมื่อครู่ฉินซีพูดมาทั้งหมดนั้น หลังจากแยกกันครั้งนี้ พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เจอกันอีก
แม้โจวซิงกับฉินซีจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่พวกเขากลับรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า ความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกับความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาจินตนาการได้
ในใจของฉินซีเต็มไปด้วยคำปลอบโยน: “โจวซิง ไม่นานเราก็จะได้เจอกันอีกนะ”
เธอรู้ถึงความกังวลของโจวซิง ประโยคสุดท้ายจึงพูดเพื่อกำจัดสิ่งที่อยู่ในใจของเขา
โจวซิงเข้าใจแล้ว: “อื้ม”
โจวเอ้อยืนฟังอยู่ข้างๆ เห็นฉินซีพูดเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้น้องชายที่ดื้อรั้นของเขาว่านอนสอนง่ายขึ้นมาได้ ในใจชื่นชมอย่างมาก
อยากให้รู้ว่า ในครอบครับของพวกเขาโจวซิงเป็นคนที่หัวแข็งดื้อรั้นอยู่เสมอ ความคิดเหมือนกับคนแก่ เพียงแค่เชื่อในเรื่องไหนแล้ว จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด
แต่ หลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฉินซีในระยะนี้ นิสัยของโจวซิงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี้โจวเอ้อเห็นกับตาของตัวเอง จำใส่ใจไว้แล้ว
เป็นฉินซีที่ทำให้โจวซิงเปลี่ยนไปยอดเยี่ยมทีละนิดๆ ในใจของเขาซาบซึ้งมาก
ฉินซีพูดกับโจวเอ้ออีกสองประโยค นัดเวลาเจอกันช่วงบ่าย แล้วจึงวางสาย
เธอส่งมือถือให้ลู่เซิ่น: “จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”
ฉินซีเอ่ยปากเรียบๆ ในน้ำเสียงซ่อนความเหงาหงอยเอาไว้เล็กน้อย
แม้เธอจะพยายามปกปิดเอาไว้ แต่แค่ลู่เซิ่นเห็นก็มองออกถึงความในใจของเธอแล้ว
ลู่เซิ่นเดินเข้าไปใกล้ๆ จ้องมองเธอ ริมฝีปากบางๆขยับขึ้น: “เป็นอะไรไป? ไม่ดีใจเหรอ?”
เขากอดฉินซี ถามขึ้นเบาๆ
ฉินซียื่นแขนเรียวยาวออกมา โอบเอวที่แข็งแรงของเขาเอาไว้แน่น ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น: “ก็ไม่ใช่ไม่ดีใจ แค่รู้สึกไม่อยากไปจากที่นี่ ไม่อยากทิ้งคุณปู่เช่ไป”
เธออยากไปดูโลกภายนอกกับลู่เซิ่นมากๆ แต่กลับรู้สึกว่าชีวิตชนบทอย่างนี้ ก็มีเอกลักษณ์พิเศษไม่เหมือนใครดี
บางทีนี่อาจจะเป็นของมีค่าที่ไม่สามารถเก็บเอาไว้ทั้งสองอย่างได้
ลู่เซิ่นลูบผมสวยๆของฉินซีเบาๆ เสียงแหบพร่าพูดขึ้น: “ผมเข้าใจ ถ้าคุณไม่อยากไปจากที่นี่ เราก็ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักก็ได้”
ความจริงแล้ว เขาก็รู้สึกว่าชีวิตชนบท ได้ปลูกผักปลูกดอกไม้ในทุกๆวันก็ดีนะ
ไม่มีความวุ่นวายอย่างโลกภายนอก ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่มีข้อผูกมัด
ฉินซีส่ายหน้า: “ไม่ได้ ตอนนี้เรายังต้องหลบหนีนะ จะหยุดอยู่ที่นี่ได้ยังไง ถ้าโดนจ้านเซินหาเจอ แล้วคุณปู่เช่จะทำยังไง? ฉันไม่อยากทำให้คุณปู่เช่เดือดร้อน ฉันติดค้างเขามามากพอแล้ว”
ครั้งที่แล้ว คุณปู่เช่ช่วยชีวิตของเธอ ครั้งนี้ คุณปู่เช่ก็ช่วยชีวิตของลู่เซิ่นอีก
ฉินซีไม่ใช่คนเนรคุณ ตอนนี้พวกเขาเองยังใช้ชีวิตได้ไม่ปลอดภัย จะให้คุณปู่เช่พลอยลำบากไปกับพวกเขาได้ยังไงล่ะ
ลู่เซิ่นมองเธอที่ทุกข์ใจ เห็นใจมากๆ: “ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ เราหนีไปก่อนชั่วคราว รอให้เรื่องจ้านเซินคลี่คลายลง แล้วเราค่อยกลับมาหาคุณปู่เช่ ถ้าตอนนั้นคุณปู่เช่เห็นด้วยที่จะไปกับพวกเรา ไปอาศัยอยู่ด้านนอก เราก็จะพาเขาไปเที่ยวรอบโลก ถ้าคุณปู่เช่ไม่เห็นด้วย เราก็มาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาสักระยะหนึ่ง คุณคิดว่าอย่างนี้ดีไหม?”
เขาลองถามดู ปลอบเธอที่เศร้าใจด้วยความระมัดระวัง
ลู่เซิ่นอ่อนโยนขนาดนั้น ทำให้ฉินซีรู้สึกอบอุ่นใจ
เธอรู้สึกว่าตนเองโชคดีมากจริงๆ ที่ได้เจอผู้ชายดีๆอย่างลู่เซิ่น
ฉินซีพยักหน้า: “อื้ม”
เธอรู้สึกว่า อย่างนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ลู่เซิ่นดูเวลา: “เวลาเหลือไม่มากแล้ว เรากลับไปบอกลาคุณปู่เช่กันเถอะ”
ถึงเขาจะไม่ยินยอม แต่เรื่องราวที่วางอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ต้องไปจัดการให้เสร็จสิ้น
ฉินซีเดินตามหลังเขาไปอย่างว่าง่าย เห็นเขาหยิบอุปกรณ์จับปลาจากบนพื้นขึ้นมา เดินไปทางกระท่อม
เธอหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตนเองใจเย็นลง
ฉินซีรู้สึกว่า ตนเองให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก่อนตอนที่อยู่ในองค์กร เธอไม่มีอารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนาของมนุษย์เลย
ในตอนนี้ เธอกลับพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
แม้ความรู้สึกจะเปราะบางมาก แต่ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกก็มอบพลังที่มากมายให้แก่เธอด้วย