นี่จึงเรียกได้ว่าธรรมชาติคัดสรร คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะรอดชีวิตสินะ
มีไม่กี่คนที่สามารถทำตามใจตนเองได้เหมือนกับฉินซี สาเหตุที่เธอกำเริบเสิบสานอย่างนี้ แล้วยังอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะด้านหลังมีคนเสียสละและคอยช่วยเหลืออยู่มากมาย
อีกอย่าง จ้านเซินรู้สึกกับเธอไม่เหมือนกับคนอื่น ไม่งั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เพียงครั้งแรกที่เธอมีความคิดจะทรยศต่อองค์กร ก็คงโดนจ้านเซินยิงทิ้งไปแล้ว
……
ดวงตาที่เปล่งประกายของจ้านเซินกำลังมองเหยาจ้าว เขาคำรามออกมาด้วยความโมโห: “ตอบคำถามฉัน!”
เหยาจ้าวไม่เคยเห็นเขาโมโหเช่นนี้มาก่อน จ้านเซินในตอนนี้ราวกับสิงโตที่ดุร้าย กลิ่นของความอันตรายแพร่กระจายออกมาทั่วร่าง
เขากำลังครุ่นคิดด้วยจิตใต้สำนึก แต่จ้านเซินมองความคิดของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว เดินเข้าไปใกล้ๆกดเขาลงไปบนโต๊ะ
ในฐานะที่เหยาจ้าวเป็นหมอคนหนึ่ง ถึงจะมีทักษะวิชามวยอยู่บ้าง แต่เทียบกับจ้านเซินที่คุ้นเคยกับศิลปะป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็กคงไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง
เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขัดขืน จึงโดนจ้านเซินคุมตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา
จ้านเซินจับข้อมือของเขาเอาไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน: “ก่อนฉินซีจะหนีไป บอกอะไรนายไว้ใช่ไหม? นายบอกฉันมาตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
เสียงแหบพร่าของเขาพูดขึ้น ในดวงตาดำขลับเปล่งประกายความแวววาวที่อึมครึมไม่ชัดเจน
เหยาจ้าวรู้ ถ้าตนเองพูดความจริงออกไป จ้านเซินต้องไปจับฉินซีกลับมาด้วยตนเองแน่ๆ
แต่เดิมทีเขาก็ไม่รู้ว่าฉินซีอยู่ไหน ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้จริงๆ ถ้าไม่ใช่จู่ๆจ้านเซินไปปรากฏตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ฉินซีเองหลังจากที่ไปเยี่ยมลู่เซิ่นแล้วก็คงกลับองค์กรทันที
ฉินซีไม่ได้รีบร้อนจะออกไปจากองค์กรขนาดนั้น เดิมทีเธอให้เวลาจ้านเซินได้ผ่อนคลายลง แล้วหวังว่าเขาจะเข้าใจได้ด้วยตนเอง
สาเหตุที่ตอนนี้เรื่องราวบานปลาย เหตุผลส่วนใหญ่ก็มาจากจ้านเซิน เพียงแค่จนถึงตอนนี้จ้านเซินก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน
เขายังคงจัดการตามวิธีการของตนเองด้วยความถือทิฐิ แต่กลับไม่รู้เลยว่าเรื่องราวเสียการควบคุมไปตั้งนานแล้ว
เหยาจ้าวหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมความประหม่าในใจเอาไว้ ค่อยๆเอ่ยปาก: “จ้านเซิน ต่อให้วันนี้นายฆ่าฉันให้ตาย ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าฉินซีอยู่ที่ไหน”
เขาพูดขึ้นโดยไม่สนใจความตายใดๆ ท่าทางที่เด็ดเดี่ยวนั้นทำให้จ้านเซินสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด
เขารู้สึกว่าตั้งแต่เหยาจ้าวมาที่องค์กร ความคิดของฉินซีก็ค่อยๆเปลี่ยนไปซับซ้อนขึ้นมา หลุดพ้นจากการควบคุมของตนเอง
บางทีตอนนี้ฉินซีอาจจะเปลี่ยนไปดื้อดึงยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงแต่เป็นเพราะลู่เซิ่น ยังมีอีกสาเหตุหลักนั่นก็เพราะเหยาจ้าวคอยล้างสมองอยู่เงียบๆ
จ้านเซินกำลังจ้องมองเหยาจ้าว ในแววตาที่ลึกล้ำประกายความกระหายเลือดออกมา
เหยาจ้าวสบเข้ากับดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นของเขา ในใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน กลิ่นของความมืดมนภายในร่างกายของจ้านเซินแพร่กระจายออกมา ค่อยๆห้อมล้อมเขาเอาไว้ในนั้น ราวกับพันธนาการที่มัดมือมัดเท้าของเขา ทำให้เขาหมดหนทางที่จะหลบหนี
ความรู้สึกที่โดนเกาะกุมอย่างนี้ ทำให้ในใจของเหยาจ้าวสั่นไหว
สาเหตุที่เหยาจ้าวอดทนมาจนถึงตอนนี้ ก็หวังว่าจะสามารถหลบหนีออกไปจากองค์กรได้อย่างปลอดภัย
เขาไม่อยากใช้วิธีการบ้าคลั่งอย่างฉินซี เหยาจ้าวรู้ดี เขาไม่ใช่ฉินซี จ้านเซินไม่ออมมือให้เขาอยู่แล้ว
ถ้าเขาทรยศองค์กรแล้วโดนจ้านเซินจับได้ จ้านเซินคงจัดการเขาตามกฎเกณฑ์ที่ยึดถือกันมาขององค์กรแน่ๆ
เหยาจ้าวไม่มีสิทธิทำตามใจ เขาจึงไม่กล้าประพฤติตัวด้วยความไม่ระวัง
เพียงแค่ไม่คิดว่าเขาอดทนมาหลายปีขนาดนี้ แต่สุดท้ายยังคงมีจุดจบเช่นนี้อีก
นึกถึงตรงนี้บนใบหน้าหล่อๆของเหยาจ้าว ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะตัวเอง บางทีนี่อาจจะเป็นผลของเขา
จ้านเซินกำลังมองเขาที่ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมเอ่ยปาก ความโมโหในใจก็ซัดสาดขึ้นมา
“นายคิดว่านายไม่พูด ฉันก็จะหมดหนทางแล้วงั้นเหรอ?”
จ้านเซินคว้าของคอเสื้อของเหยาจ้าว พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบคม
เหยาจ้าวไม่ได้ตอบ เพียงแค่ใช้สายตาจ้องกลับไป
ไม่ต้องพูดถึงที่เขาไม่รู้จริงๆว่าฉินซีอยู่ที่ไหน ต่อให้เขารู้ ก็ไม่มีทางบอกเด็ดขาด
ไม่ง่ายเลยที่ฉินซีจะหลุดพ้นออกไปจากสถานที่ที่เหมือนคุกเช่นนี้ได้ เขาก็ไม่หวังให้จ้านเซินจับเธอกลับมาหรอก
“นาย!”
จ้านเซินชูกำปั้นขึ้นด้วยความเดือดดาล สะบัดลงไปที่เหยาจ้าว
หมัดของเขากระแทกลงไปที่ดั้งจมูกของเหยาจ้าวอย่างแรง เลือดกำเดาของเหยาจ้าวไหลออกมาทันที
เหยาจ้าวรู้สึก เหมือนดั้งจมูกของตนเองหักไปแล้ว ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด คำรามออกมา
จ้านเซินดวงตาแดงก่ำ เขาตะโกนออกมาด้วยความโมโห: “บอกฉันมา ฉินซีอยู่ที่ไหนกันแน่!”
เขาดึงคอเสื้อของเหยาจ้าวไว้แน่น คำพูดมาพร้อมกับการข่มขู่
มุมปากของเหยาจ้าวที่ปกปิดเอาไว้เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา: “ฉันบอกไปแล้ว ว่าฉันไม่รู้ ฉินซีหนีไปแล้ว เธอก็คงไม่กลับมาอีก นายยอมแพ้ไปเถอะ”
เขาพูดขึ้นด้วยความเบิกบานใจ ท่าทางเสียสติ
เหยาจ้าวเหมือนกับรอคอยวันนี้มานานแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาถึงดีใจยังไงล่ะ
นึกถึงตรงนี้ ในใจของจ้านเซินก็ยิ่งเดือดดาล
ก็ตอนที่เขาเตรียมจะฆ่าเหยาจ้าวให้ตาย ถังย่าก็รีบร้อนเข้ามา: “หยุด!”
เห็นการกระทำของจ้านเซิน ในใจของถังย่าก็ตื่นตระหนก
เธอไม่ได้คาดคิดเลยว่า ความรู้สึกของจ้านเซินจะพังทลายลงมาถึงจุดนี้
สองวันนี้ ที่จ้านเซินอยู่ในองค์กร แค่เจอเรื่องที่ไม่พอใจก็จะเริ่มอาละวาด
เหมือนเขาเสียสติไปแล้ว เห็นใครต่อใครก็รู้สึกว่าขัดตาไปหมด จ้องจับผิด แล้วก็จะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย
จ้านเซินในตอนนี้ ไม่เหมือนกับเขาเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
คนมากมายในองค์กรพากันบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ พากันรู้สึกว่าจ้านเซินในฐานะที่เป็นผู้นำองค์กร เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งจะสร้างปัญหาจนกลายเป็นอย่างนี้ แย่มาก
อีกอย่าง ในองค์กรมีกฎอย่างชัดเจน ห้ามมีความรัก ห้ามแต่งงาน ซึ่งก็หมายความว่าห้ามหวั่นไหว
จ้านเซินในฐานะที่เป็นผู้นำองค์กร แต่กลับไม่รักษากฎระเบียบขององค์กร ทำให้คนมากมายไม่พอใจ ตอนนี้เป็นอย่างนี้ ก็ยิ่งทำให้เกิดความโมโห
ทุกคนทยอยมาหาถังย่า เริ่มระบายความคับอกคับใจ
แม้ตอนนี้พวกเขาจะไม่กล้าปฏิบัติต่อจ้านเซินอย่างเปิดเผย แต่ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของเขาท่ามกลางพวกเขาก็เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป วันหลังคงยากที่จะได้รับความนับถือจากทุกคน
เดิมทีถังย่ายังตามหาร่องรอยของฉินซีกับลู่เซิ่นอยู่ข้างนอก หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากทุกคนอย่างต่อเนื่อง ก็รู้สึกได้ว่าเป็นปัญหารุนแรงแล้ว จึงรีบกลับมาทันที
แค่เธอกลับมาก็เห็นจ้านเซินเดินไปทางห้องทดลองด้วยความรีบร้อน ในใจของถังย่ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี จึงตามไปอย่างกระวนกระวาย
ว่าแล้วเชียวไม่ต่างจากที่เธอคิดเอาไว้เลย จ้านเซินสติแตกอีกแล้ว
ไม่นึกว่าเขาจะลงมือกับเหยาจ้าว เหมือนกับที่อยากฆ่าเธอ อยากจะฆ่าเหยาจ้าว
ตอนนี้ถังย่าถือว่าเข้าใจความรู้สึกของทุกคนแล้ว หลังจากเห็นเหยาจ้าวที่อดกลั้นจนหน้าแดง จึงรีบเดินเข้าไป พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลัน หยุดการกระทำของจ้านเซินเอาไว้ได้
จ้านเซินหันกลับมาทันที จึงสบเข้ากับดวงตาสีอำพันคู่นั้นของถังย่าพอดี