ความคิดของลู่เซิ่นกับฉินซีเหมือนกัน ถ้าทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน ต่อให้ต้องหนีไปจนถึงวันสิ้นโลกก็ยังมีความสุข
ประจวบเหมาะที่พวกเขาสามารถใช้โอกาสในครั้งนี้ เดินเล่นไปได้ทุกที่
ลู่เซินลูบแก้มของเธอเบาๆ สายตาที่ลึกซึ้งกำลังมองเธอ: “ผมเข้าใจแล้ว”
เขาจับมือของเธอเอาไว้แน่น วางไว้ที่ข้างริมฝีปากจูบอย่างแผ่วเบา
……
และในเวลานี้
ภายในองค์กร หลังจากที่เหยาจ้าวรู้ว่าฉินซีหนีไปแล้ว ในใจก็ทั้งตกใจทั้งชื่นชม
จริงๆเขาก็คาดการณ์เอาไว้แล้ว ท่าทางในครั้งนี้ของฉินซีไม่เหมือนกับแต่ก่อนเลย ตอนนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ ในใจมีความกังวล แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เหยาจ้าวคิดว่า ฉินซีเป็นคนที่มีเหตุผลมากๆคนหนึ่งมาโดยตลอด
แต่นึกไม่ถึง ในครั้งนี้กลับทำตัวมุทะลุไปได้
ดูแล้ว คนที่มีความรัก มักจะไม่มีเหตุผลกันทั้งนั้น
เหยาจ้าวกำลังมองนกที่นอกหน้าต่าง แล้วถอนหายใจออกมา: “เฮ้อ……”
ความเป็นจริง เหยาจ้าวก็อยากออกไปจากที่นี่มากๆ
เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนนี้เขายังไม่ถึงเวลานั้น
อาจจะเป็นเพราะเขามีเหตุผลมากจนเกินไป จึงเอาแต่กังวลเรื่องนี้ กังวลเรื่องนั้น ไม่ได้นิสัยใจคอเหมือนกับฉินซี จึงล่าช้ามาจนถึงตอนนี้
เหยาจ้าวหยุดการเคลื่อนไหวในมือ ความคิดค่อยๆล่องลอยออกไปไกล
ก็ในตอนนี้
จู่ๆประตูห้องทดลองก็โดนผลักเข้ามา
ประตูกระแทกไปบนกำแพง เสียงที่หนักอึ้งดังออกมา
เสียง “ปัง” ดึงสติของเหยาจ้าวกลับมาทันที
เขามองไปที่ประตูด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าใครกันที่ใช้แรงมหาศาลขนาดนี้
แต่ทว่า ตอนที่เขาเห็นจ้านเซิน ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
ทำไมจู่ๆจ้านเซินถึงกลับมาที่องค์กร ฉินซีหนีไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่ควรจะตามหาไปทั่วทุกที่เหรอ ทำไมยังมีเวลากลับมาอีกล่ะ
เหยาจ้าวรู้สึกแปลกๆ แต่ในใจก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี อยู่ลางๆ
จ้านเซินก้าวเข้ามาหาเขาอย่างแน่วแน่ บนใบหน้าที่หล่อเหลาปรากฏความดุดันออกมา
เขาจ้องมองเหยาจ้าว ที่ยืนอยู่ข้างกายเขา กัดฟันเอ่ยปากพูดขึ้น: “ฉันขอถามนาย ตอนนี้ฉินซีอยู่ไหน?”
จ้านเซินตามหาฉินซีมาหลายวันแล้ว แต่ไม่เจอร่างของฉินซีกับลู่เซิ่นเลย
เขาค่อยๆร้อนรน หุนหันพลันแล่นขึ้นเรื่อยๆ
ก็ตอนที่จ้านเซินกลัดกลุ้มจนทนไม่ไหว จู่ๆจั่วยีก็นึกถึงเหยาจ้าว
ตอนที่อยู่ในองค์กร ฉินซีกับเหยาจ้าวชอบตัวติดกัน
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดีมาก เป็นเรื่องที่ทุกคนในองค์กรต่างก็รู้ดี
ไม่แน่ว่าฉินซีกับเหยาจ้าวอาจจะติดต่อกันส่วนตัว หรืออาจจะบอกได้ว่าก่อนฉินซีหนีไป เคยปรึกษากับเหยาจ้าวอย่างลับๆอยู่แล้ว
จ้านเซินรู้สึกว่าที่จั่วยีพูดมาก็มีเหตุผลมาก จึงมาซักถามเหยาจ้าวด้วยท่าทีดุดัน
เขาจำได้ ถังย่าเคยบอกเขา เหมือนกับเหยาจ้าวเริ่มต่อต้านแล้ว
ตอนนั้นจ้านเซินจึงทดสอบเหยาจ้าวเล็กน้อย แต่กลับโดนเหยาจ้าวเลี่ยงไปได้
ตอนนี้ดูแล้ว พวกเขาสองคนคงจะวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วสินะ
นึกถึงตรงนี้ ในใจของจ้านเซินก็ยิ่งโมโห
ไม่นึกว่าภายใต้การจับจ้องของเขาเหยาจ้าวกับฉินซีจะมีการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆพวกนี้ นี่ทำให้จ้านเซินรู้สึกโดนหยามเกียรติเป็นอย่างมาก
วันนี้ เขาต้องบังคับให้เหยาจ้าวพูดออกมาให้ได้ว่าฉินซีอยู่ที่ไหน
แต่ที่เขาไม่รู้ ในใจของเหยาจ้าวก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
ถึงเขาจะสังหรณ์ใจว่าเรื่องราวมันแปลกไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ฉินซีจะหนีไปอย่างวู่วามเช่นนี้จริงๆ
เผชิญหน้ากับคำถามของจ้านเซิน เหยาจ้าวจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างเห็นได้ชัด
เขาวางกล่องอุปกรณ์ในมือลง กระพริบๆตา เอ่ยปากนิ่งๆ: “จ้านเซิน นายหมายความว่าไง?”
เหยาจ้าวเป็นคนฉลาด เขาจึงรู้ทันทีว่าจุดประสงค์ที่จ้านเซินมาในครั้งนี้เพื่ออะไร
ตอนนี้เขาทำได้เพียงพยายามทำให้จ้านเซินเชื่อ เขาไม่รู้ว่าฉินซีอยู่ไหนจริงๆ ไม่งั้น กลัวว่าคงจะได้เจ็บตัวแน่ๆ
นึกถึงตรงนี้ เหยาจ้าวก็ฝืนยิ้มออกมา
ฉินซีหนีไปอย่างไม่ลังเล ปัญหายากๆตอนนี้มอบให้เขาเป็นคนจัดการทั้งหมด
เหยาจ้าวไม่รู้ว่าตนเองจะทำให้จ้านเซินเชื่อได้หรือไม่ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงพยายามลองดู
ฉินซีที่อยู่กลางหุบเขาไกลโพ้นจู่ๆก็จามออกมา ถูๆจมูก
ลู่เซิ่นจึงเอาผ้าห่มไปคลุมบนร่างของเธอ ขมวดคิ้ว พูดขึ้นเบาๆด้วยเสียงอบอุ่น: “เป็นหวัดเหรอ?”
เขาถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง สายตาจ้องอยู่บนไหล่เปลือยเปล่าของฉินซี ช่วยเธอห่มผ้าให้มิดชิด
“ไม่น่าจะใช่นะ”
ฉินซีส่ายหน้า พูดขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ
ช่วงนี้ เธอดื่มซุปบำรุงร่างกายที่คุณปู่เช่ตุ๋นตลอดเลย ฉินซีรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกระปรี้กระเปร่ามากกว่าแต่ก่อนเยอะเลยแล้วก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นด้วย
ตอนนี้ไม่ว่าฉินซีจะทำอะไร มักจะรู้สึกคล่องแคล่วปราดเปรียว มีแรงเหลือล้น
เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลังจากออกมาจากองค์กร มีลู่เซิ่นอยู่ข้างๆจิตใจก็เลยเปลี่ยนแปลงไป หรือเป็นเพราะซุปยาของคุณปู่เช่ได้ผลดีมาก หรือไม่ก็เป็นเพราะทั้งสองอย่าง
ฉินซียังไม่รู้ว่า ตอนนี้เหยาจ้าวกำลังตกที่นั่งลำบาก
เพราะการหลบหนีไปของเธอ จ้านเซินจึงเอาความเดือดดาลทั้งหมด ระบายไปบนร่างของเหยาจ้าว
ถ้าฉินซีรู้ว่า ตนเองเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เหยาจ้าวเดือดร้อน เธอคงหาวิธีพาเหยาจ้าวออกมาด้วยแน่ๆ
แม้วันที่หลบหนีจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็สบายใจกว่ามากๆที่จะต้องโดนบีบบังคับอยู่ในองค์กร ฉินซีรู้ดี เหยาจ้าวเองก็คาดหวังให้ตนเองได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเช่นกัน
แต่ก่อน ตอนที่ฉินซีไปหาเหยาจ้าว มักจะเห็น เขานั่งเหม่อลอยตามลำพังอยู่ในห้องทดลอง มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง มองนกที่บินไปบินมาอย่างอิสระบนท้องฟ้า
ก่อนหน้านี้ ฉินซีไม่ค่อยเข้าใจ คิดว่าเหยาจ้าวคงเบื่อหน่ายเกินไปแน่ๆ
แต่ตอนนี้ ฉินซีกลับเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว
การกระทำในตอนนั้นของเหยาจ้าว เป็นเพราะความปรารถนาที่มากเกินไป แต่กลับหมดหนทางที่จะหนีออกมาได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้ผ่อนคลายความกลัดกลุ้มในใจ
ฉินซีนึกขึ้นได้ ตอนนั้นที่เธอฟื้นฟูความทรงจำ จ้านเซินพาเหยาจ้าวมาตรวจเธอ ท่าทีของเหยาจ้าวเย็นชามาก ราวกับโดนคนในองค์กรกลืนกินไปแล้ว แม้แต่น้ำเสียงที่พูดออกมาก็เหมือนกับเครื่องจักรกล
ตอนนั้นฉินซียังคงผิดหวังมาก ไม่คิดว่าแม้แต่เหยาจ้าวลูกพี่ลูกน้องของเธอก็โดนหลอมละลายไปด้วย งั้นภายในองค์กรก็จะไม่มีใครสักคนที่เธอสามารถพูดความในใจได้อีกแล้ว
ภายหลัง ฉินซีเพิ่งจะรู้ เดิมทีสาเหตุที่เหยาจ้าวทำอย่างนั้น เพียงแค่อยากได้รับความเป็นส่วนตัวและอิสระที่มากขึ้นเท่านั้นเอง
สำหรับเหยาจ้าวแล้ว เขาไม่สามารถได้รับความเชื่อใจจากจ้านเซินโดยสิ้นเชิงได้
อันที่จริงเขาเข้ามากลางคัน ความคิดก็พัฒนาเต็มที่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติกันภายในองค์กร เขาสามารถทำได้ตาม แต่กลับไม่ยอมรับด้วยใจจริง
ดังนั้น จ้านเซินจึงเอาแต่ระมัดระวังตัวจากเขา
ต่อมา จ้านเซินก็ค้นพบว่า เหมือนเขาจะคอยช่วยฉินซีหลบหนีจากการควบคุมขององค์กรอยู่ลับๆ จึงทำให้เขายิ่งไม่พอใจ
ดังนั้นในแต่ละวันที่เหยาจ้าวอยู่ในองค์กรจึงยากลำบากเป็นพิเศษ เพื่อความอยู่รอดต่อไปในองค์กร ใช้ชีวิตให้อิสระสักหน่อย เหยาจ้าวจึงต้องทำอย่างนี้เพื่อเปลี่ยนแปลง