“ตอนนี้พวกเธอต้องการอะไรบ้าง อยากจะซ่อนตัวอยู่บนภูเขาอีกระยะหนึ่ง หรือว่าตอนนี้จะให้ฉันรีบส่งคนไปช่วยเหลือพวกเธอเลย ช่วยพวกเธอออกมา”
ความคิดและคำพูดของเขาชัดเจนแจ่มแจ้ง ทำให้ในใจของฉินซีตื้นตันมาก
ฉินซีรู้สึกว่า ข้างกายของลู่เซิ่นมีเพื่อนและลูกน้องที่ทุ่มเททั้งกายทั้งใจขนาดนี้ เป็นเรื่องที่โชคดีมากๆเรื่องหนึ่งจริงๆ อย่างน้อยตอนที่พวกเขาประสบปัญหา ก็ยังสามารถมอบคนรุ่นหลังให้กับเขาได้อย่างไร้ความกังวล
ลู่เซิ่นกับฉินซีอยากจะออกไปจากที่นี่ตอนนี้จริงๆ ไม่อยากสร้างความลำบากให้คุณปู่เช่อีกแล้ว
แต่ว่า ตอนนี้อาการบาดเจ็บของลู่เซิ่นยังเดินทางไกลไม่ได้ แผนการช่วงนี้จึงทำได้เพียงเลื่อนออกไปก่อน
ฉินซีค่อยๆเอ่ยปาก: “เราเตรียมตัวออกเดินทางในอีกสามสี่วันข้างหน้า อาการบาดเจ็บของลู่เซิ่นยังต้องพักฟื้นอีกหน่อย พอดีกับสามสี่วันนี้ยังเพียงพอให้พวกคุณเตรียมการได้ เราต้องการรถหนึ่งคัน แล้วก็เงินสดจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงเสื้อผ้าอีกหลายๆชุดด้วย”
เธอบอกความต้องการทั้งหมดแก่โจวเอ้อ ให้เขารีบไปเตรียมการ
โจวเอ้อพยักหน้า: “อื้ม ผมจะเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย”
สิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเอาตัวรอด โจวเอ้อคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ฉินซีกำชับอย่างไม่วางใจขึ้นอีกประโยคหนึ่ง: “อย่าลืมนะ เรื่องนี้คุณห้ามทำเอง หาคนของพวกคุณที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ ไม่ก็คนที่จ้านเซินไม่เคยเห็นมาก่อน ให้เขาจัดการอย่างเงียบๆ อย่าให้จ้านเซินพบเข้าได้”
เธอกล้ายืนยันเลย ตอนนี้จ้านเซินก็คงจับตาดูการเคลื่อนไหวของโจวเอ้ออยู่เหมือนกัน
ถ้าโจวเอ้อมีการเคลื่อนไหวใดๆ คงหนีไม่พ้นสายตาของจ้านเซินหรอก
ถึงตอนนั้น จ้านเซินต้องรู้แน่ๆ ว่าพวกเขาเคยติดต่อกับโจวเอ้อ แล้วติดตามเบาะแสนี้ของโจวเอ้อ จนพบที่ซ่อนตัวของพวกเขา งั้นก็แย่แน่
ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าต้องเสียใจภายหลัง เวลานี้ พวกเขาระมัดระวังรอบคอบให้มากหน่อยจะดีกว่า
“อื้ม คุณวางใจเถอะ”
โจวเอ้อพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จดจำคำพูดเมื่อครู่ของฉินซีเอาไว้ในใจ
หลังจากฉินซีพูดสิ่งที่อยากพูดจนหมดแล้ว จึงส่งมือถือคืนให้ลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นรับโทรศัพท์: “ใช่สิ นายให้คนสวมหน้ากากหนังคนที่ฉันทำขึ้นเมื่อคราวก่อนด้วยนะ อยู่ในตู้เซฟในห้องหนังสือน่ะ มีอันใหม่อยู่สองอัน”
เดิมทีลู่เซิ่นอยากจะทำอีกอัน แต่คิดจะทำหน้ากากหนังคน ต้องเสียเวลามาก แล้วยังต้องใช้วัสดุที่คงทนอีกด้วย
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในป่าท่ามกลางหุบเขา จนปัญญาที่จะหาสิ่งของให้ครบครันอยู่แล้ว เขาจึงจำใจยอมแพ้วิธีการนี้ ให้โจวเอ้อเอาของเดิมที่เขาทำไว้อย่างดีแล้วมาด้วย
โชคดีที่ตอนอยู่ว่างๆที่โรงพยาบาล เขาแอบทำขึ้นมาอีกสองอัน ไม่งั้นตอนนี้คงทำได้เพียงใช้อันเก่าเท่านั้น
ถึงอันเก่าจะยังใช้ได้ แต่ไม่มีหน้ากากผู้หญิง
ลู่เซิ่นไม่อยากให้ฉินซีสวมของผู้ชาย แต่ฉินซีกลับยังไงก็ได้
รูปร่างของฉินซีสูงโปร่ง 178 ซม.ราวกับนางแบบ เทียบกับผู้ชายทั่วไปก็สูงโดดเด่นกว่านิดหน่อย
แต่ ตอนที่เธออยู่ต่อหน้าลู่เซิ่นที่สูงถึง190 กลับดูเตี้ยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ฉินซีคิดๆแล้ว จึงพูดเพิ่มเติม: “หน้ากากหนังคนสองอันเก่าก็เอามาด้วยดีกว่า”
เธอกลัวว่าระหว่างทางอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดได้ หน้ากากหนังคนนั้นเพื่อให้ผิวหนังหายใจได้ตามปกติ จึงทำขึ้นมาบางมากๆ เหมือนกับกระดาษเลย อย่างนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงเวลาที่สวมไปนานๆแล้วก่อให้เกิดความเปื่อยยุ่ย บางทีอาจจะเพราะหายใจไม่ค่อยสะดวก จึงทำให้เกิดสิวได้
ถ้าวันไหนไม่ทันระวังทำพังขึ้นมา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะหาวัสดุทำขึ้นมาใหม่ได้อีกไหม ดังนั้นจึงกักตุนไว้หน่อย คงไม่เลว
ลู่เซิ่นรู้สึกว่าที่ฉินซีพูดก็มีเหตุผล จึงพูดขึ้น: “ทำตามที่ฉินซีบอกแล้วกัน”
“อื้ม”
โจวเอ้อไม่มีความคิดเห็นอะไร: “งั้นหลังจากฉันเตรียมการเสร็จ จะโทรไปนัดเวลา แล้วส่งของไปให้พวกนายนะ”
เขาพูดขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะวางสายมากขนาดนั้น
แต่ว่า เหตุผลของโจวเอ้อบอกเขา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอืดอาดยืดยาด ถ้าอยากให้ลู่เซิ่นกับฉินซีสบายดี ก็ควรจะเด็ดขาดสักหน่อย
“อื้ม”
ลู่เซิ่นเอ่ยปากนิ่งๆ: “ลำบากนายแล้ว”
ในใจของโจวเอ้อหลากหลายความรู้สึก: “ลู่เซิ่น นายอย่าพูดอย่างนี้ เรื่องพวกนี้ฉันสมควรทำ เอาเถอะ ตอนนี้ฉันจะไปเตรียมการแล้ว นายกับฉินซีพักผ่อนให้เต็มที่ ที่นั่นปลอดภัยไหม?”
เขาถามคำถามสุดท้าย ลู่เซิ่นพยักหน้า: “ปลอดภัย”
“นายไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา ไปเตรียมของที่ต้องการก่อนเถอะ”
ลู่เซิ่นกับโจวเอ้อพูดกันอีกไม่กี่คำ ก็วางสายไป
ฉินซีมองออก ความสัมพันธ์ระหว่างโจวเอ้อกับลู่เซิ่นลึกซึ้งแน่นแฟ้น: “โจวเอ้อเป็นคนหนึ่งที่เชื่อใจได้ ฉันเชื่อว่าจะไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น”
เธอพิงอยู่บนไหล่ของลู่เซิ่น พูดปลอบโยนเบาๆ
มองใบหน้าด้านข้างที่งดงามละเอียดอ่อนของฉินซีแล้ว ลู่เซิ่นสุขใจมาก
เขาก้มหน้า ริมฝีปากบางๆตกอยู่บนริมฝีปากของฉินซี เสียงแหบพร่าของเขาพูดขึ้น: “ผมรู้ ผมไม่ได้กังวลเรื่องนี้ เพียงแค่ระหว่างทางที่หลบหนีไม่รู้ว่าจะมีความยากลำบากและอุปสรรคมากมายขนาดไหนที่รอคอยพวกเราอยู่……”
ไม่รอให้ลู่เซิ่นพูดจบ ฉินซีก็ใช้ริมฝีปากของเธอปิดลงไปบนปากของเขา
จูบเร่าร้อนที่อารมณ์พลุ่งพล่านของทั้งสองคน เข้มข้นร้อนแรง จนหยุดเอาไว้ไม่ได้แล้ว
โดยไม่รู้ตัว ลู่เซิ่นก็อุ้มฉินซีไปบนเตียงใหญ่
ใบหน้าขาวละเอียดของฉินซีแดงระเรื่อขึ้นมา พูดขึ้นด้วยความเขินอายรวมกับเป็นกังวล: “อาเซิ่น แผลของคุณ”
เธอไม่อยากให้บาดแผลของลู่เซิ่นได้รับบาดเจ็บอีกครั้งเพราะตนเอง ถ้าเป็นอย่างนี้ เธอคงโดนคุณปู่เช่ด่าตายแน่ๆ
“ไม่เป็นไร ผมจะระวังหน่อย”
ดวงตาแดงๆทั้งคู่ของลู่เซิ่นกำลังมองเธอ พูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า
เขารอคอยวันนี้มานานมากแล้ว ตอนนี้ถือว่าชดเชยให้สมกับที่รอคอยได้แล้วสิ
มองแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของลู่เซิ่น ฉินซีจึงค่อยๆหลับตาลง
การกระทำของเธอ อนุญาตการเคลื่อนไหวของลู่เซิ่นไปโดยปริยายอย่างชัดเจน
บนใบหน้าของลู่เซิ่นปรากฏรอยยิ้มบางๆที่น่าดึงดูด เขาก้มหน้าลงไปจูบฉินซี ท่าทางที่จริงใจอย่างนั้น ราวกับปฏิบัติต่อสิ่งล้ำค่าด้วยความทะนุถนอม
ภายหลัง
ฉินซีขลุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของลู่เซิ่น บนใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ
เสียงนุ่มนวลของเธอพูดขึ้น: “อาเซิ่น ฉันรู้ว่าคุณกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ คุณรู้ไหม? ในใจของฉัน เพียงแค่ได้อยู่กับคุณ ต่อให้ต้องอยู่ในกระท่อมผุๆพังๆก็มีความสุขแล้ว ที่ที่มีคุณอยู่ ก็คือบ้านของฉัน”
สำหรับฉินซีแล้ว คำว่าบ้านคำนี้ทั้งไม่คุ้นเคยทั้งอบอุ่นมาก
เธอคาดหวังมากจริงๆว่าจะได้สร้างครอบครัวกับลู่เซิ่น แต่ตอนนี้สำหรับพวกเขา แค่ได้อยู่อย่างสงบก็เป็นเรื่องที่ปรารถนาเหลือเกิน
แต่ฉินซียังคงไม่ยอมแพ้ เธอแค่รักลู่เซิ่น ในดวงตาและในหัวใจก็ไม่สามารถมอบให้คนอื่นได้อีกแล้ว
ลู่เซิ่นมองใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ ในดวงตาดำขลับประกายความหลงใหลออกมา
ชีวิตของเขาก่อนหน้านี้อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เจอกับฉินซี ยิ่งไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีความรักที่เหมือนกับเทพนิยายอย่างนี้ เขาเตรียมตัวที่จะอยู่คนเดียวไปจนแก่เอาไว้แล้ว
แต่ในช่วงเวลานี้ เป็นเวลาที่ลู่เซิ่นมีความสุขที่สุด