ไม่งั้น ตอนนี้ฉินซีกับลู่เซิ่นคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้
โจวซิงยังเอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด: “บนร่างกายของลู่เซิ่นยังมีบาดแผลอยู่ พวกเขาน่าจะหนีไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ไม่งั้นร่างกายของลู่เซิ่นคงทนไม่ไหว”
อารมณ์ของเขาค่อยๆสงบลง โจวซิงรู้ว่าตอนนี้รีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์
โจวซิงกำลังมองสีหน้าแย่ๆของโจวเอ้อ ยากที่จะสงบลงได้: “พี่ อย่าเพิ่งร้อนรนไปเลย เราค่อยๆตามหา เมื่อกี้ผมไปสืบมาแล้ว คนของจ้านเซินที่ด้านนั้นก็ยังไม่มีเบาะแส”
เขาเดินไปที่ด้านหน้าของโจวเอ้อ ตบบ่าของเขาเบาๆ เอ่ยปากให้คำแนะนำ: “พี่ ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ตอนนี้ แต่พี่ต้องยืนหยัดเอาไว้ ลู่เซิ่นกับฉินซียังรอพวกเราอยู่ ตอนนี้คนที่พึ่งได้มีแค่พี่แล้วนะ ถ้าพี่ไม่เข้มแข็งอีกคน แล้วจะมีใครที่ช่วยฉินซีกับลู่เซิ่นได้ล่ะ?”
โจวซิงกำลังพูดเกลี้ยกล่อม โจวเอ้อก็กำลังฟังอย่างสงบ
จากนั้นไม่นาน
โจวเอ้อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตนเองใจเย็นลงมา: “ฉันรู้แล้ว”
เขาเอ่ยปากด้วยเสียงแหบพร่า บนใบหน้าขาวละเอียดเห็นเบ้าตาที่ดำคล้ำอย่างชัดเจน
ตั้งแต่หลังจากที่ฉินซีกับลู่เซิ่นหายตัวไป โจวเอ้อก็ไม่เคยได้หลับสนิทเลย
เขาไม่กล้าหลับ กลัวว่าหลังจากหลับไปแล้วจะได้รับข่าวไม่ดี
โจวเอ้อรู้สึกว่าการหายตัวไปของลู่เซิ่นกับฉินซีเป็นเพราะตนเอง ความกดดันที่มากมายทำให้เขาไม่รู้จะผ่อนคลายลงได้ยังไง
เขาเอ่ยปากขึ้นอย่างฉับพลัน: “โจวซิงนายส่งคนออกไปให้มากอีกหน่อย ก่อนที่จ้านเซินจะเจอพวกเขา เราต้องหาฉินซีกับลู่เซิ่นให้เจอ”
โจวเอ้อหน้าตาเคร่งขรึม หลังจากกำชับโจวซิงไปแล้ว ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ
โจวซิงเห็นเขาไม่สติหลุดลอยเหมือนเมื่อครู่แล้ว ในใจจึงคลายกังวลลงได้: “อื้ม ผมจะไปจัดการตอนนี้เลย”
เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง แล้วหมุนตัวจะออกไป
แต่ทว่า ในตอนนี้ มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ จู่ๆก็สั่นขึ้นมา
โจวเอ้อเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ ตาดำหดตัวเล็กน้อย
พระเจ้ารู้ดี เขารอคอยสายนี้มานานแล้ว
นี่เป็นวิธีติดต่อกันในช่วงเวลาวิกฤตของเขากับลู่เซิ่น ตอนที่ลู่เซิ่นหายตัวไป โจวเอ้อก็เอาแต่พกมือถือเครื่องนี้ไว้ข้างตัว เปิดเสียงอยู่ตลอด เพื่อตอนที่ลู่เซิ่นโทรเข้ามา เขาจะได้รับทันที
หัวใจของโจวเอ้อเต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าปรากฏความตื่นเต้นออกมา
เขารอมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็สมหวังแล้ว
โจวเอ้อรีบหยิบมือถือขึ้นมา กดรับอย่างรวดเร็ว
โทรศัพท์เพิ่งจะดังขึ้นแค่หนึ่งวินาที ก็มีคนรับแล้ว
ใบหน้าของลู่เซิ่นปรากฏความประหลาดใจออกมา แล้วยิ้มมุมปาก: “ฮัลโหล”
เสียงทุ้มๆลอดผ่านโทรศัพท์ลอยเข้าไปในหูของโจวเอ้อ เบ้าตาของเขาจึงแดงขึ้นมาทันที
พูดกันว่าผู้ชายจะไม่ร้องไห้ง่ายๆ ถ้าไม่ถึงจุดที่เสียใจจริงๆ
พระเจ้ารู้ดี กี่วันนี้มานี้โจวเอ้อทรมานยังไงบ้าง ตอนนี้ได้ยินเสียงของลู่เซิ่นอีกครั้ง ไม่นึกว่าในใจจะมีความรู้สึกที่ไม่ได้เจอกันมานานเกิดขึ้น
โจวเอ้อเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร กลัวว่าเสียงที่พูดออกมาจะทำให้ลู่เซิ่นรู้สึกได้ว่าตนเองแปลกๆไป เขาไม่อยากให้ลู่เซิ่นเป็นห่วงตนเองอีก
แต่ทว่า เขาไม่พูด ลู่เซิ่นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว
ลู่เซิ่นยิ้มบางๆแล้วพูดขึ้น: “โจวเอ้อ นายอย่ากังวล ตอนนี้ฉันสบายดี ไม่เป็นอะไรเลย”
เขากำลังปลอบโยนด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น เพียงเล็กน้อยก็เดาความในใจของโจวเอ้อได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
โจวเอ้อพูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า: “ลู่เซิ่น ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน?”
ในใจของเขากำลังคิดที่จะเคลื่อนไหว อยากจะรีบไปรับลู่เซิ่นกลับมา
ลู่เซิ่นบอกเขาอย่างละเอียด: “ตอนนี้ฉันอยู่บนภูเขาที่ห่างไกล ห่างจากเมืองไห่มาก ถ้าไม่มีคนนำทางมา นายน่าจะหาไม่เจอ”
แค่พูดออกไป โจวเอ้อก็รีบตอบกลับทันที: “ไม่เป็นไร นายบอกตำแหน่งที่อยู่คร่าวๆให้ฉัน ตอนนี้ฉันจะรีบส่งคนไป แค่ฉันหา ก็ต้องเจอแน่ๆ ไม่ก็นายส่งโลเคชั่นมาให้ฉัน ฉันจะได้ตามทางไป”
ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรีบร้อน กลิ่นของความกังวลใจนั้น ลู่เซิ่นที่อยู่แสนไกลก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน
ลู่เซิ่นมองมือถือรุ่นเก่าในมือ แล้วยิ้มๆ: “ตอนนี้ฉันจนปัญญาที่จะส่งโลเคชั่นไปให้นาย”
เขาต้องการสมาร์ทโฟนสักเครื่องหนึ่ง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ยินยอม สามารถหาอย่างนี้มาได้ก็ไม่เลวแล้ว
โจวเอ้อขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ: “เพราะอะไร?”
หรือว่าลู่เซิ่นเจอกับความลำบากที่นั่นเข้าแล้ว ใช่สิ! ต้องเป็นเพราะบนภูเขาไม่มีอินเตอร์เน็ต สัญญาณไม่ดีสินะ
โจวเอ้อไม่ได้นึกถึงมือถือของฝั่งนั้นเลย ในหัวของเขาคิดว่า ตอนนี้มันยุคไหนแล้ว ใครจะยังใช้มือถือรุ่นเก่าอยู่อีกล่ะ
“เพราะฉันไม่มีสมาร์ทโฟน มือถือเครื่องนี้ทำได้แค่รับสายโทรออก ส่งข้อความเท่านั้นเอง”
เบอร์ของลู่เซิ่นก็เพิ่งเปลี่ยนใหม่ สาเหตุที่โจวเอ้อรู้ว่าลู่เซิ่นโทรมา เป็นเพราะว่ามือถือเครื่องนี้ของโจวเอ้อมีแต่ลู่เซิ่นเท่านั้นที่รู้ นอกจากเขาแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะมีบุคคลที่สองโทรเข้ามาอีก
โจวเอ้อได้ฟังประโยคนี้ ก็เบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่ได้ยินว่าลู่เซินโทรมา โจวซิงก็หยุดฝีเท้าลง
เขารีบมาที่ข้างกายของโจวเอ้อ พูดขึ้นอย่างรอไม่ไหว: “ลู่เซิ่นกับฉินซีใช่ไหม? นายถามๆลู่เซิ่น ตอนนี้บาดแผลของเขาเป็นยังไงบ้าง พกยาติดตัวไปด้วยไหม”
ตอนนั้นทั้งสองคนรีบร้อนออกไป ลู่เซิ่นยังใส่ชุดคนไข้อยู่เลย เขาคงหยิบยาไปไม่ทัน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่ฉินซีมียาหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็คงแย่แน่ๆ
ด้วยความที่โจวซิงเป็นหมอ จึงให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เมื่อครู่โจวเอ้อเอาแต่สนใจเรื่องอื่นๆ ลืมถามเรื่องนี้ไปเลย
เขากำลังคิดจะพูด แต่กลับได้ยินลู่เซิ่นที่ได้ยินแล้วชิงตอบออกมาก่อน: “โจวซิงนายก็อย่ากังวลเลย บาดแผลบนตัวฉันดีขึ้นมากแล้ว พกยาติดตัวมาด้วย ฉินซีก็อยู่กับฉัน พวกเราสบายดี”
เสียงของโจวซิงดังมากจริงๆ คงยากที่เขาจะไม่ได้ยิน
รู้ว่าตอนนี้พวกเขาคงเป็นห่วงตนเองมากแน่ๆ ลู่เซิ่นจึงบอกพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา
ลู่เซิ่นกลัวพวกเขาไม่เชื่อ จึงส่งมือถือให้ฉินซี ให้สัญญาณเธอพูด
เห็นสายตาของลู่เซิ่น ฉินซีจึงรับมือถือไป พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: “โจวเอ้อ โจวซิงพวกคุณวางใจเถอะ ตอนนี้เราสบายดีมากๆ ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของจ้านเซินเป็นยังไงบ้าง พวกเขายังคงตามหาพวกฉันอยู่ใช่ไหม?”
จริงๆแล้ว อยู่ที่นี่ก็ดีมากๆ แต่สิ่งที่ฉินซีกลัวที่สุดคือจู่ๆวันหนึ่งจ้านเซินจะตามหาพวกเขาจนเจอ แล้วทำให้คุณปู่เช่พลอยเดือดร้อนไปด้วย
เธอชัดเจนในนิสัยของจ้านเซินมาก เขาเป็นคนที่หัวแข็งมากคนหนึ่ง ถ้าหาพวกเขาไม่เจอ จ้านเซินก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
สาเหตุที่ตอนนี้ฉินซีถามโจวเอ้อ ก็แค่อยากยืนยันสักหน่อย
โจวเอ้อกำหมัดแน่น น้ำเสียงเคร่งขรึมพูดขึ้น: “ใช่ จ้านเซินส่งคนออกไปตามหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามทิศทางที่พวกเธอหนีไป ขยายอาณาเขตค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม พวกเราก็พยายามขวางเอาไว้”