ตอนที่ถังย่าราวกับมองไม่เห็นเขา แล้วเดินออกไปทันที ซิวหน่ายซิงจึงรู้ว่าเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิดเอาไว้
ซิวหน่ายซิงรีบตามเข้าไป ตะโกนเรียก: “ลูกพี่!”
แค่ตะโกนออกไป ห้วงความคิดของถังย่าจึงโดนดึงกลับมาทันที
ถังย่าหันกลับไปมองตามเสียง เธอแสร้งทำเป็นเอ่ยปากอย่างสงบนิ่ง: “ซิวหน่ายซิง ฉันให้นายรออยู่ด้านนอกไม่ใช่เหรอ ทำไมนายถึงเข้ามาในนี้ล่ะ?”
เธอไม่รู้ตัวเลย ว่าตนเองเป็นฝ่ายออกมาเองต่างหาก ซิวหน่ายซิงจึงตามมาได้
ซิวหน่ายซิงเห็นท่าทางใจลอยของเธอแล้ว ปวดใจมาก แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยต่อถังย่า เอ่ยปากขึ้นอย่างเชื่อฟัง: “ผมเป็นห่วง ก็เลยรอไม่ไหว”
เขาพูดนิ่งๆ อยากจะเดินเข้าไปใกล้ๆกอดถังย่าเอาไว้
ซิวหน่ายซิงอยากบอกถังย่ามาก ว่าให้ยอมแพ้เถอะ ถึงไม่มีจ้านเซิน ก็ยังคงมีเขาอยู่
เขาก็สามารถดูแลถังย่าได้ ปลอบใจเธอได้เหมือนกัน ทำไมถึงต้องไล่ตามสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยล่ะ เพียงแค่ถังย่าหันกลับมา ก็จะเห็นเขาอยู่ข้างหลัง
แต่ ซิวหน่ายซิงกลับไม่กล้า
ราวกับสิ่งที่ถังย่าปฏิบัติต่อจ้านเซิน ในใจของเขาก็มีความหวาดหวั่นต่างๆนานา
ถังย่ายิ้มบางๆพูดขึ้น: “ฉันมีอะไรน่าเป็นห่วง นายน่ะ อ่อนไหวเกินไป ขี้ระแวงไปแล้วนะ ถ้าจ้านเซินจะฆ่าฉันจริงๆ เขาคงลงมือตั้งนานแล้ว ทำไมจะต้องรอให้กลับมาที่องค์กรด้วยล่ะ?”
เธอตบๆไหล่ของซิวหน่ายซิงเบาๆ บ่งบอกให้เขาไม่ต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้
แล้วถังย่าก็พูดขึ้นต่อทันที: “เอาเถอะ ตอนนี้แก้ปัญหาได้แล้ว เราไปค้นหากันต่อเถอะ อย่าชักช้าเลย”
เธอไม่รอให้ซิวหน่ายซิงถาม ก็รีบเดินไปขึ้นรถ
ในวินาทีที่หมนุตัว รอยยิ้มที่มุมปากของถังย่าแทบจะหายไปทันที
ซิวหน่ายซิงจะไม่เข้าใจความคิดของเธอได้ยังไง มองเธอที่กำลังแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ทำได้เพียงถอนใจอยู่เงียบๆ แล้วรีบเดินตามไป
……
หลังจากพักฟื้นมาหลายวัน อาการบาดเจ็บของลู่เซิ่นก็ดีขึ้นพอประมาณแล้ว
อาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆของฉินซี หลังจากดื่มซุปบำรุงร่างกายที่สารอาหารครบถ้วนที่คุณปู่เช่ทำขึ้นแล้ว ก็ฟื้นฟูร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
“ฉินซี ลู่เซิ่น รีบออกมาเร็ว ของที่พวกเธอต้องการ ฉันหามาได้แล้วนะ”
เสียงหัวเราะที่สดใสของคุณปู่เช่ลอยเข้ามาจากด้านนอก ไม่เหมือนเสียงที่เปล่งออกมาจากคนแก่ที่อายุเจ็ดสิบกว่าปีเลยสักนิด
ฉินซีกับลู่เซิ่นกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงของเขา จึงลุกขึ้นนั่งทันที
ทั้งสองคนรีบเดินออกไป
คุณปู่เช่หยิบมือถือรุ่นเก่าสองเครื่องออกมาจากในกระเป๋า: “ดูสิ นี่ใช่ของที่พวกเธอต้องการไหม”
เขาเอ่ยปากยิ้มอย่างสดใส ส่งมือถือไปให้
ลู่เซิ่นกับฉินซีแยกกันเปิดมือถือสองเครื่อง แม้จะเป็นรุ่นเก่า แต่ยังสามารถใช้ได้
ทั้งสองคนยิ้มสบตากัน: “ขอบคุณนะคะคุณปู่เช่ มีสิ่งนี้ ความหวังที่เราจะหลบหนีออกไป ก็มีมากขึ้นแล้ว”
ฉินซีจับมือถือเอาไว้แน่น เอ่ยปากอย่างซึ้งใจ
กี่วันมานี้คุณปู่เช่ออกไปแต่เช้ากลับมาดึกดื่น ก็เพื่อช่วยพวกเขาจัดการสิ่งนี้ ไม่รู้เลยว่าเดินไปไกลขนาดไหน ตอนที่กลับมาในทุกๆคืน บนรองเท้าถึงเต็มไปด้วยดินเหนียว
ฉินซีเห็นแล้วอดปวดใจไม่ได้ ถ้าหาไม่เจอก็ไม่อยากให้เขาหาแล้วจริงๆ
แต่ คุณปู่เช่กลับยืนยันที่จะหาให้เจอ
ฉินซีกับลู่เซิ่นขัดขวางไม่ได้อยู่แล้ว ทำได้เพียงยอมให้เขาตามหาไปก่อน ถ้าอาการบาดเจ็บของลู่เซิ่นดีขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาอีก
จริงๆฉินซีกับลู่เซิ่นก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก เพียงต้องการหลบหนีออกไปอย่างปลอดภัยก็พอ จะมีหรือไม่มีมือถือเป็นเรื่องที่สำคัญรองลงมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่า คุณปู่เช่จะหามาได้จริงๆ
เนื่องจากคุณปู่เช่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ ก็รู้สึกดีอกดีใจ กำลังมองทั้งสองคนที่ยิ้มอย่างเบิกบานใจ เขาจึงหรี่ตาพูดขึ้น: “องค์กรที่ไม่มีความเป็นมนุษย์นั้นน่ะเธอควรจะออกมาได้ตั้งนานแล้วนะ ฉันล่ะศรัทธาเธอจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะทนได้นานขนาดนี้”
แต่ก่อนฉินซีไม่เคยบอกเรื่องราวภายในองค์กรกับเขาอย่างละเอียด ดังนั้นคุณปู่เช่จึงไม่รู้อย่างชัดเจน
จนกระทั่งครั้งนี้ ด้วยการบังคับขู่เข็ญและหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ของคุณปู่เช่ ฉินซีจึงบอกเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง หลังจากคุณปู่เช่ฟังแล้วก็โมโหมาก
ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก เขาคงโน้มน้าวให้เธอออกมาตั้งนานแล้ว
พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของฉินซีก็ปรากฏความทุกข์ออกมา
ลู่เซิ่นมองออกถึงความรู้สึกที่หวั่นไหวของเธอ จึงเอ่ยปาก: “คุณปู่เช่ครับ อาการบาดเจ็บของผมเมื่อไหร่ถึงจะหายดีครับ”
เขาเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างไม่ลังเล ไม่อยากเห็นฉินซีทุกข์ใจ
ความสนใจของคุณปู่เช่จึงเคลื่อนมาที่เขาทันที: “ฉันรู้ว่าตอนนี้นายอยากจะรีบจากไป แต่อาการบาดเจ็บของนายยังต้องใช้เวลาอีกสองสามวันถึงจะดีขึ้นอย่างเต็มที่ คราวนี้นายจะทำตามใจไม่ได้อีกแล้วนะ”
เขาถลึงตาใส่ลู่เซิ่นตักเตือน
ลู่เซิ่นไม่ได้คิดจะอวดเก่ง เมื่อเห็นว่าบรรลุความต้องการแล้ว จึงยิ้มบางๆพยักหน้า: “ครับ ผมเข้าใจแล้ว คุณปู่สบายใจได้ เพื่อฉินซี คราวนี้ผมจะอยู่ที่นี่ทำตัวเป็นเด็กดีครับ”
คุณปู่เห็นท่าทางที่นอบน้อมจริงใจของเขา ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ: “เอาเถอะ พวกเธออย่ามาเสียเวลากับฉันอยู่ตรงนี้เลย ในเมื่อได้มือถือแล้ว ก็รีบไปจัดการเรื่องของพวกเธอดีกว่า”
แม้ในใจของคุณปู่เช่จะเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ไม่อยากให้พวกเขาเอาแต่อุดอู้อยู่บนภูเขา
เขารู้ว่าชีวิตของฉินซีหลายปีมานี้ไม่ง่ายเลย จึงหวังว่าเธอที่มีลู่เซิ่นคอยดูแล จะได้ไปเปิดหูเปิดตาได้เห็นโลกภายนอกว่ามีสีสันขนาดไหน
ฉินซีอายุยังน้อย ไม่ควรอยู่ในที่โทรมๆอย่างนี้ต่อไป
ลู่เซิ่นกับฉินซีโดนเขาไล่ จึงกลับมาที่ห้องแล้ว
หลังจากฉินซีเข้ามา ก็ปิดประตู: “โทรหาโจวเอ้อก่อนเถอะ”
คนที่พวกเขาไว้ไจได้มีไม่มาก โจวเอ้อกับโจวซิงเป็นสองคนในนั้น
แต่ทว่าโจวซิงอายุยังน้อย ทำอะไรวู่วาม เก็บเรื่องราวไว้ในใจไม่ได้ ฉินซีจึงรู้สึกว่าโจวเอ้อไว้ใจได้มากกว่าหน่อย
ลู่เซิ่นก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เขาพยักหน้า: “อื้ม”
ลู่เซิ่นกับโจวเอ้อมีวิธีการติดต่อกันโดยเฉพาะ เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนดักฟัง
……
อีกด้านหนึ่ง
โจวเอ้อกำลังตามหาตำแหน่งของฉินซีกับลู่เซิ่นอย่างร้อนใจ
วันนั้นที่ฉินซีกับลู่เซิ่นเกิดเรื่อง พอดีกับที่เขาโดนส่งออกไปปฏิบัติภารกิจ
ตอนนั้นเขายังอยู่ต่างเมือง ก็ได้รับโทรศัพท์จากโจวซิง จึงรีบร้อนกลับมา
แต่ว่า โจวเอ้อยังช้าไปก้าวหนึ่ง
เขาสืบหาตามฝีเท้าของจ้านเซินอยู่ตลอด อยากจะหาลู่เซิ่นกับฉินซีให้เจอเร็วขึ้นหน่อย
โจวเอ้อคิดว่าลู่เซิ่นต้องทิ้งเบาะแสบางอย่างไว้ให้เขาแน่ๆ แต่เขาคิดไม่ถึง เนื่องจากลู่เซิ่นกลัวว่าจ้านเซินจะพบเข้า จึงไม่ได้ทำอย่างนั้น
เขาทำได้เพียงส่งคนออกไปค้นหาให้มากขึ้น แต่กลับไม่มีผลลัพธ์อะไรเลย
โจวซิงเดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยความกระสับกระส่าย: “พี่ ตอนนี้เราควรทำยังไงกันดี ลู่เซิ่นกับฉินซีตอนนี้เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ถ้าโดนจ้านเซินพบเข้าก่อนก็แย่แน่”
แค่ตอนที่หมดหนทางที่สุดเท่านั้น โจวซิงถึงจะเรียกโจวเอ้อว่าพี่
เช่นเดียวกัน ในใจของโจวเอ้อก็เป็นกังวลมาก
เขาอยากหาลู่เซิ่นกับฉินซีให้เจอเร็วๆ แต่ตอนนี้เขาก็จนปัญญา
ในใจของโจวเอ้อเสียใจที่สุด วันนั้นทำไมเขาถึงไม่ยืนกรานในความคิดของตนเอง ใช้อำนาจอยู่ข้างกายของลู่เซิ่น คอยปกป้องเขากันนะ