มองดูกองธนบัตรสีแดง ปู่เช่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ฉันไม่ต้องการ พวกเธอเก็บไปซะ”
คุณปู่เช่รู้ดีแก่ใจ ว่าเมื่อเทียบกับเขาแล้วฉินซีและลู่เซิ่นต้องการเงินก้อนนี้มากกว่าเขา
ระหว่างทางการหลบหนี พวกเขาเองก็ต้องทานต้องดื่ม ไม่เช่นนั้นก็จะอดตาย
ส่วนเขาอาศัยอยู่บนป่าเขา ปกติแล้วปลูกผักทานเอง เลี้ยงไก่เอง ไม่มีอะไรที่จะต้องใช้เงินเลย
ต่อให้เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย ทานผักที่ขึ้นเองตามป่าเขา ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้
ฉินซีคะยั้นคะยอจะยัดเงินให้กับปู่เช่ให้ได้ “คุณปู่ เช่คะ เงินพวกนี้สำหรับซื้อโทรศัพท์ ท่านรับเอาไว้เถอะ หากท่านไม่รับเอาไว้ เราเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจได้ มีแต่จะต้องไปจากที่นี่”
เธอกล่าวพร้อมจับจ้องปู่เช่ด้วยสีหน้าเคร่งครัด
ปู่เช่ได้ยินความเด็ดขาดจากน้ำเสียงของเขา
แม้ว่าเวลาที่เขาและฉินซีได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจะไม่เยอะมากนัก แต่เขากลับรู้จักฉินซีเป็นอย่างดี
วันนี้ หากเขาไม่รับเงินก้อนที่มาไว้ ฉินซีก็จะพาลู่เซิ่นออกไปจริงๆ
เมื่อจับจ้องดวงตาที่แน่วแน่ของฉินซี ปู่เช่ถอนหายใจออกมาในใจ “เฮ้อ…..”
เขาเลือกที่จะประนีประนอมย่างไร้หนทาง “ก็ได้ เงินนี่ฉันจะรับเอาไว้”
แม้ปู่เช่จะบอกว่าจะรับเอาไว้ เก็บไว้ซื้อโทรศัพท์ แต่อันที่จริงเขากลับคิดที่จะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ เมื่อฉินซีและลู่เซิ่นออกเดินทางแล้วค่อยคืนให้กับพวกเขา
ราวกับว่าฉินซีคาดเดาความคิดของเขาได้อยู่แล้ว จึงกล่าวขึ้น “คุณปู่เช่คะ ท่านวางใจเถอะ เราไม่ขาดแคลนเรื่องเงินทอง ที่ให้กับท่านเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น ในตัวเรายังมีเงินอยู่อีก ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยเราประหยัด และเมื่อเอาโทรศัพท์มาได้ ติดต่อกับผู้ช่วยของลู่เซิ่นได้เมื่อไหร่ เขาจะช่วยเราเตรียมทุกอย่างเอง ถึงตอนนี้ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินเลย เงินก้อนนี้ท่านรับเอาไว้เถอะ”
เมื่อได้ยินประโยคของเธอ ปู่เช่จึงรับเอาไว้อย่างสบายใจ
เขาลูปเคลาของตนเองอย่างเบามือ พรางพยักหน้ารับ “ได้ ฉันรู้แล้ว”
อาหารมื้อนี้ รับประทานอย่างเบิกบานใจ
หลังทานอาหารเสร็จ ทีแรกปู่เช่คิดที่จะทายาให้กับลู่เซิ่น
หากแต่ ฉินซีกลับเร็วกว่าก้าวหนึ่ง “คุณปู่เช่ หนูเองค่ะ”
เธอรับขวดยาในมือของคุณปู่เสียมาไว้ ก่อนที่จะมุ่งไปทางลู่เซิ่น
ฉินซียังคงรู้สึกผิด หากไม่ใช่เพราะไร้หนทางจริงๆ เธอไม่มีทางมาขอความช่วยเหลือจากปู่เช่แน่ เพราะงั้นตอนนี้เธอจึงพยายามที่จะไม่รบกวนปู่เช่ ให้เขาอยู่อย่างสะดวกสบายใจ ไม่ใช่เพราะการมาของพวกเขา ต้องวนเวียนวุ่นวายอยู่กับพวกเขา
ปู่เช่จ้องมองปฏิกิริยาของพวกเขา พลันส่ายหน้า เผยรอยยิ้มที่มุมปาก “ถ้าอย่างงั้นก็ฝากด้วย ตอนทาต้องทาอย่างสม่ำเสมอ ต้องถูให้ทั่วทุกที่ แล้วค่อยพันด้วยผ้าพันแผล ตอนกลางคืนเข้านอน พวกเธอสองคนนิ่งๆ หน่อย ห้ามโดนแผลเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น จะเป็นเรื่องใหญ่”
เขากล่าวอย่างเคร่งครัด ฉินซีพยักหน้ารับ
ฉินซีรู้สึกว่าคำพูดของปู่เช่ มีความหมายอื่นอยู่อีก
อะไรคือพวกเธอสองคนอยู่นิ่งๆ นี่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ
ความคิดของฉินซีค่อยๆ ลอยไปไกล เธอถึงอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน พวงแก้มที่ขาวนวลแดงก่ำ
เธอกล่าวอย่างอ้ำอึ้ง “พอได้แล้ว คุณปู่เช่ ฉันรู้แล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านรีบกลับไปนอนเถอะ พวกเก็บของสักหน่อยก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน”
ฉินซีรู้สึกว่าปู่ เช่เป็นชราเด็กจอมซน เรื่องส่วนตัวแบบนี้ก็สามารถนึกขึ้นได้ น่าอับอายเป็นบ้า
ตอนนี้เธออายจนไม่สามารถจ้องมองปู่เช่โดยตรงได้
ปู่เช่จับจ้องใบหน้าที่แดงก่ำของเธอ ดวงตาอำพันเผยรอยยิ้มจางๆ “เฮ้อ หลานสาวที่แต่งออกไปน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว มีสามีแล้วก็ลืมตาแก่อย่างฉันไปเลย ตอนนี้คิดที่จะไล่กันแล้ว อีกหน่อยแม้ประตูก็คงจะเข้าไม่ได้แล้วสินะ”
เขากล่าวพลันส่ายหน้าอย่างระอา แสร้งทำทีท่าเสียใจ
เมื่อลู่เซิ่นเห็นฉินซีตกอยู่ในความอึดาอัด จึงรีบกล่าว “คุณปู่เช่ ฉินซีไม่ใช่คนแบบนั้น ในใจของเธอ ท่านอยู่สูงกว่าผม และสำคัญมากกว่าผม”
เขาตั้งใจกล่าวอย่างนอบน้อม เพื่อเยินยอปู่เช่
เมื่อปู่เช่ได้ยินอย่างนั้น เขาเกิดบ้ายอขึ้นมา “ฮ่าฮ่าฮ่า พ่อตัวดี ปากหวานจังเลยนะ แกคงจะใช้วิธีนี้ ล่อลวงหลานสาวสุดสวยของฉันไปสินะ”
เขาจ้องมองลู่เซิ่นพร้อมกับหัวเราะออกมา ความเศร้าสร้อยเมื่อสักครู่หายไปสิ้น
ฉินซียืนมองปฏิสัมพันธ์ของทั้งคู่ อย่างไร้คำพูด
เธอไม่เข้าใจความคิดของผู้ชายเลยสักนิด ว่าทำไมถึงได้คาดเดายากเสียเหลือเกิน
ปกติเค้าว่ากันว่าผู้หญิงยากที่จะเข้าใจ แต่ตอนนี้กลับสับเปลี่ยนเสียอย่างนั้น
ลู่เซิ่นกล่าวอย่างถ่อมตัว “ปู่เช่ ผมจริงใจต่อฉินซี แม้ว่าคำพูดหวานแหววจะใช้การได้ แต่เพียงพูดไม่กระทำ มีแต่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่จริงใจ”
ทีท่าจริงใจของเขา ทำให้ปู่เช่พึงพอใจเป็นอย่างมาก
ปู่เช่ลูปเคราสีเงิน พลันพยักหน้า “อืม แกมีความคิดแบบนี้ ทำให้ฉันมองไปเปลี่ยนไปเลย ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ฉินซีอยู่กับแก ฉันก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว”
ตั้งแต่ก้าวเข้าประตูมา อารมณ์ของปู่เช่ที่มีต่อเขานั้นไม่แน่นอนอยู่เสมอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทำให้ลู่เซิ่นรู้สึกเป็นกังวลมาตลอด
ลู่เซิ่นกังวลว่าปู๋เสี้ยจะไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว แต่ลู่เซิ่นหวังว่าจะได้รับการอวยพรจากผู้ใหญ่
ตอนนี้ ปู่เช่ได้คลายกังวลลงแล้ว
ลู่เซิ่นได้รับคำปลอบใจอย่างมาก รอยยิ้มบนใบหน้าเองก็ชัดเจนขึ้น
“คุณปู่เช่ ท่านวางใจเถอะ ต่อจากนี้ผมจะดีต่อฉินซีเป็นสองเท่า ไม่ให้เธอต้องลำบากเสียใจ หากทำไม่ได้ ผม……”
ขณะที่ลู่เซิ่นกำลังจะสาบาน ฉินซีรีบปลี่ตัวเข้าไป
เธอยกมือขึ้นปิดปากของลู่เซิ่น จ้องมองลู่เซิ่นด้วยความโกรธ “ห้ามพูดอะไรที่ไม่เป็นมงคล ได้ยินไหม!”
ฉินซีกล่าวอย่างดุดัน ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
ตอนนี้เธอเป็นกังวลอย่างมาก ว่าลู่เซิ่นจะจากไป
ฉินซีในอดีต เธอไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ แต่ตอนนี้ เธอมีคนที่เธอรัก จึงกลายเป็นคนที่ไร้ความกล้าขึ้นมาช้าๆ
ลู่เซิ่นนิ่งไป ก่อนที่จะยกหยักมุมปาก
ตอนนี้เขาถูกฉินซีปิดปากจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับ
แต่ฉินซีกลับไม่พอใจในปฏิกิริยาของเขา คิดว่าเขาตอบรับเธอไปอย่างนั้น เพราะงั้นจึงกล่าวต่อ “ตอบคำถามฉันมา อย่าเอาแต่พยักหน้า”
เธอลืมซะสนิท ว่ามือของเขายังปิดปากของลู่เซิ่นเอาไว้อยู่ เมื่อสักครู่เพราะไม่อนุญาตติให้เขาพูดออกมา จึงปิดปากเขาแน่น จนยากที่จะเปล่งเสียงออกมา
ลู่เซิ่นจ้องมองทีท่าร้อนรนของเธอ ก่อนที่จะหัวเราะออกมา
เขายื่นมือออกมา ขณะที่คิดที่จะดึงมือของฉินซีออก ก็ได้ยินเสียงเตือนจากปู่เช่ที่อยู่อีกด้าน “หลานรักของฉัน แกปิดปากเขาอย่างนั้น จะให้เขาตอบคำถามยังไง”
ปู่เช่รู้สึกว่า ผู้หญิงที่อยู่ในห้วงแห่งความรัก ไอคิวก็จะลดลงไปด้วย ประโยคนี้ไม่ผิดเลยสักนิด