ฉินซีกล่าว พรางสตาร์ทเครื่องยนต์
ลู่เซิ่นจ้องมองแผ่นหลังของเธอ ดวงตาดำขลับประกายแสงแวววาว
กระทั่งเครื่องยนต์หายลับตาไป ลู่เซิ่นถึงได้ละสายตา
เขาทำตามคำของฉินซี ค้นหาสถานที่มิดชิด รอเธออย่างเงียบๆ
ฉินซีมุ่งไปข้างหน้า กวาดสายตาไปรอบๆ
ลู่เซิ่นรอเธออยู่คนเดียว แถมยังบาดเจ็บ เธอไม่กล้าที่จะล่าช้า
เมื่อฉินซีซ่อนรถเรียบร้อยแล้ว พร้อมนำหญ้าหนาๆ ปิดซ้อนเอาไว้ ก่อนที่จะเดินย้อนกลับไปยังทางเดิมด้วยเม็ดเหงื่อที่แตกโชก
“อาเซิ่น…..”
หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ฉินซีกลับมาด้วยเหงื่อที่ท่วมกาย
เมื่อลู่เซิ่นได้ยินเสียง จึงเดินออกมา “ฉินซี ในที่สุดก็กลับมาสักที”
เขาจ้องมองทีท่าหอบด้วยความเหนื่อย ด้วยความเจ็บปวดใจ
“เหนื่อยไหม”
ลู่เซิ่นเดินไปที่เธอ พลันยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากที่ไหลพราก
ทีท่าที่อ่อนโยนของเธอ ทำให้ฉินซีรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ฉินซีสบสายตาที่ฉายแววห่วงใยคู่นั้น พร้อมส่ายหน้า “ไม่เหนื่อย คุณอยู่กับฉัน ฉันจะเหนื่อยได้ยังไง!”
ขอเพียงแค่หนีออกไปจากที่นี่ได้ การที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันนั้นคุ้มค่าทั้งนั้น
“โอเค เราอย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย เราเดินทางต่อเถอะ”
ฉินซีกล่าว พรางจูงแขนของลู่เซิ่น มุ่งไปยังด้านบน
หาทางของเขาลูกนี้ค่อนข้างคดเคี้ยว ต้นไม้ตั้งสูงตระหง่านเหนือเมฆ เสมือนกับป่าดึกดำบรรพ์
เมื่อสักครู่ลู่เซิ่นได้ตรวจดูรอบๆ บริเวณโดยรอบ ไม่รู้ว่าอาจเพราะผ่านการฝนตกเมื่อสักครู่นี้หรือไม่ โดยรอบถึงได้มีหมอกหนา
หมอกควีนสีขาวนี้จับตัวกันเป็นชั้นบรรยากาศ ช่วยเหลือฉินซีและลู่เซิ่นในการซ่อนตัว
ลู่เซิ่นกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ฉินซี เธอหาที่นี่พบได้ยังไง?”
จากปฏิกิริยาของฉินซีเมื่อสักครู่ เธอคุ้นเคยกับที่นี่มากอย่างเห็นได้ชัด
ฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ก่อนหน้านี้ฉันมาทำภารกิจที่นี่ ตอนนั้นถูกไล่ล่า ก็เลยวิ่งหนี แล้วเจอที่นี่โดยบังเอิญ จึงซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่เพราะบาดเจ็บสาหัสจึงสลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้พบว่านอนอยู่ในกระท่อม เป็นผู้มีความสามารถที่อาศัยอยู่ที่นี่ช่วยฉันเอาไว้”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์เหล่านั้น ฉินซีรู้สึกว่าดวงของเธอนั้นค่อนข้างแข็ง
ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะผู้มีความสามารถท่านนั้นออกมาหายา แล้วพบกับร่างของเธอที่นอนจมอยู่ในกอหญ้า ไม่แน่ตอนนี้วิญญาณของเธออาจจะร่องลอยอยู่ไหนสักที่
ฉินซีกล่าวอย่างเรียบเฉย เสมือนกับว่าเป็นเรื่องเล็ก
แต่ ลู่เซิ่นที่ได้ยินหัวใจบีบรัดแน่น
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วแน่น “จ้านเซินให้เธอมาทำภารกิจงั้นเหรอ? เขาชอบเธอไม่ใช่หรือ? ทำไมเขาถึงได้มอบภารกิจที่อันตรายแบบนี้ให้กับเธอ!”
เขากล่าวอย่างดุดัน คิดว่าจ้านเซินไม่ใช่ลูกผู้ชาย ปากบอกว่าชอบฉินซี แต่กลับผลักไสเธอเข้าสู่อันตราย
ลู่เซิ่นจึงคิดว่า การที่จ้านเซินต้องการจับกุมตัวฉินซีกลับไป ก็แค่เพื่อให้ฉินซีทำภารกิจต่อไป ช่วยเหลือทีมเท่านั้น คำว่าชอบอะไรนั่น ก็แค่ข้ออ้างที่หลอกลวง
แม้ฉินซีจะรู้อยู่แก่ใจ ว่าเธอไม่ควรช่วยแก้ต่างให้กับจ้านเซิน
แต่ เธอก็ยังคงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “อันที่จริงภารกิจนั้นไม่อันตรายเลย เพียงแต่หลังจากนั้นได้มีผู้ช่วยเพิ่มขึ้น ก็เลยทำลายแผนที่งดงามของฉันเสียหาย ไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสหรอก”
เรื่องนี้จะโทษใครไปไม่ได้ คงต้องโทษศัตรูที่เจ้าเล่ห์นัก
เหมือนกับหรูเว่ยเสียงในคราวนี้ ฉินซีไม่ทันได้เตรียมการ จนเกือบตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู
จ้านเซินไม่รู้เลย เมื่อกลับไป รายงานเรื่องนี้กับจ้านเซิน เขาเองก็นึกเสียใจทีหลัง
ลู่เซิ่นกล่าวอย่างไม่พอใจ “แล้วยังไง ก็ต้องโทษจ้านเซินอยู่ดีที่ไม่ตรวจสอบให้เรียบร้อย”
เขาโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับจ้านเซิน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ชอบขี้หน้าเขา
ฉินซีรู้ดี ว่าชาตินี้จ้านเซินและลู่เซิ่นไม่มีทางญาติดีต่อกัน เธอตึงไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้
เธอเปลี่ยนบทสนทนา “บาดแผลเจ็บรึเปล่า”
ฉินซีจับจ้องบริเวณหน้าท้องของเขา เมื่อสักครู่ระหว่างทาง เธอเก็บแผ่นไม้จากข้างทางมาหลายแผ่น ทำการห่อผ้าเอาไว้ที่ชั้นนอกเพื่อช่วยลู่เซิ่นเพื่อยึดบาดแผลของเขาเอาไว้
เพราะได้รับบาดเจ็บจากการทำภารกิจอยู่บ่อยครั้ง เพราะงั้นของเหล่านี้ ฉินซีได้พกติดตัวอยู่เสมอ
แม้ว่าอุปกรณ์จะเรียบง่าย แต่ก็พอใช้ประโยชน์ได้บ้าง
“ไม่เจ็บ”
ลู่เซิ่นส่ายหน้า ไม่ต้องการให้เธอเป็นห่วง
ฉินซีรู้ดี ว่าเขากำลังแสร้งเข้มแข็ง “อดทนอีกหน่อย อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
แม้ว่าเขาลูกนี้จะดูใหญ่ แต่กลับไม่สูง
ทั้งคู่เดินอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วโมง ก็ถึงยอดเขา
ฉินซีจ้องไปที่กระท่อมที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาอำพันฉายแววแห่วงความยินดี “อาเซิ่น ดูสิ!กระท่อมหลังนั้นแหละ เรามาถึงแล้ว”
เธอกล่าวด้วยความดีใจ ใบหน้าที่งดงามเผยรอยยิ้มที่สดใส
ลู่เซิ่นจับจ้องทีท่าราวกับเด็กน้อยของเธอ พลันกุมมือของเธอเอาไว้ “อืม ถึงแล้ว”
เขากล่าวอย่างเอ็นดู ปล่อยให้ฉินซีลากเขามุ่งเข้าไปที่กระท่อม
เมื่อมาถึงหน้าประตู ฉินซีปล่อยแขนของเขา
“อาเซิ่น คุณรออยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะไปดูว่าท่านอาจารย์คนนั้นอยู่ไหม”
จบคำ เธอไม่รอคำตอบจากลู่เซิ่น พลันพุ่งเข้าไปด้านในทันที
“คุณปู่เช่ คุณปู่เช่!”
ฉินซีตะโกนเสียงดัง แต่กลับไร้การตอบรับ
เธอวนหาโดยรอบ แต่กลับไม่พบคุณปู่เช่แม้เงา จึงขมวดคิ้วอย่างสงสัย
ฉินซีเหลือบมองข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะ น้ำชายังไงอุ่นอยู่ ภายในกระท่อมสะอาดเรียบร้อย ดูเหมือนว่าเพิ่งออกไปได้ไม่นาน คงยังไปได้ไม่ไกลนัก
เขาเพิ่งคิดที่จะไล่ตามไป ก็ได้พบกับคุณปู่เช่ที่ยืนคุยกับลู่เซิ่นอยู่ที่หน้าบ้าน
“แกเป็นใคร?”
เมื่อคุณปู่เช่กลับมาก็ได้พบว่ามีคนอยู่ในบ้านของเขา เขาได้กลิ่นคาวเลือดจากร่างกายของลู่เซิ่นอย่างแรง พลันขมวดคิ้วเป็นปม ดวงตาสีขุ่นเต็มไปด้วยการป้องกัน
ลู่เซิ่นคาดเดาจากอายุและการแต่งกายของเขา ชายที่ผมหงอกเต็มหัวตรงหน้า ชราที่สวมชุดสีขาว คงเป็นคุณปู่เช่ที่ฉินซีว่าไม่ผิดแน่
เขาเดินไปที่คุณปู่เช่ เมื่อเห็นว่าเขาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจตน เขาไม่เข้าไปใกล้
“คุณปู่เช่ สวัสดีครับ”
ลู่เซิ่นกล่าวอย่างมีมารยาท
คุณปู่เช่นิ่งไป “แกรู้จักชื่อฉันได้ยังไง แกมาทำอะไร?”
เขาจ้องมองลู่เซิ่นนิ่ง รอคอยคำตอบของเขา
ลู่เซิ่นเล่าเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา “คุณปู่เช่ ผมชื่อลู่เซิ่น เป็นสามีของฉินซี”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น คุณปู่เช่ลืมตาโพลง
“ฉินซี?”
คุณปู่เช่เต็มไปด้วยความยินดี “แกเป็นสามีของฉินซีจริงหรือ เธอแต่งงานแล้วงั้นหรือ?”
เขาก้าวไปข้างหน้า คว้ามือของลู่เซิ่นขึ้นกุม ด้วยความตื่นเต้น
ลู่เซิ่นไม่คิดเลย ว่าเมื่อคุณปู่เช่ได้ยินชื่อของฉินซี จะมีปฏิกิริยาที่แรงขนาดนี้
เขานิ่งไป ก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ครับ คุณปู่เช่ ผมกับฉินซีเราแต่งงานกันแล้ว”