เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าตอนนี้ฉินซีอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก
ฉินซีเม้มริมฝีมาก สายตาเพ่งตรงไปยังอีกฝ่าย “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่เป็นไร”
เธอกล่าวด้วยเสียงที่แหบพร่า น้ำเสียงเย็นชา
ลู่เซิ่นรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเธอได้เสียการควบคุมไปแล้ว จึงรีบเอ่ยปาก “หยุด”
ฉินซีราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเขา พลันขับมุ่งไปข้างหน้าต่อเนื่อง
ลู่เซิ่นหน้าบูดมากขึ้นเรื่อยๆ ไร้หนทางเขาได้แต่ข่มขู่ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “หากเธอยังไม่จอดรถอีก ผมจะกระโดดลงจากรถเดี๋ยวนี้”
เมื่อฉินซีได้ยินประโยคของเขาเธอเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอไม่เข้าใจว่าตอนนี้ลู่เซิ่นคิดที่จะทำอะไรกันแน่
เมื่อใช้ความคิด แต่ก็ยังไม่จอดรถ
เมื่อลู่เซิ่นเห็นว่าเธอยังคงดื้อดึง จึงปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างกระฉับกระเฉงทันที
“แครก!”
เสียงหัวเราะที่ดังชัดเจนเสียดแก้วหูของลู่เซิ่น ฉินซีสะดุ้งโหยง
เมื่อเธอเห็นว่าลู่เซิ่นคิดที่จะกระโดดลงออกรถอย่างที่พูดจริงๆ เธอสับสนเสียการควบคุม เธอเหยียบคันเบรกอย่างแรง
ล้อรถเสียดสีกับคอนกรีตจนเกิดรอยสีขาวยาวเป็นทาง ที่ดูน่าตกใจ
ฉินซีสติแตกตะคอกใส่เขา “ลู่เซิ่นนายคิดจะทำอะไร? นายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่ไหม?”
อีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น หากเธอเบรกช้าไปกว่านี้เพียงนิดเดียว ลู่เซิ่นก็จะกระโดดออกไปจริงๆ แล้ว
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมลู่เซิ่นถึงต้องวู่วามถึงขนาดนี้ หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากอยู่กับตนอย่างนั้นหรือ? ฉินซีเกิดเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาทันที
ลู่เซิ่นจ้องมองหญิงสาวที่สติแตก พลันนั่งเงียบอยู่กับที่ไม่พูดไม่จา
เขารอให้ฉินซีระบายอารมณ์ออกมาให้หมด แล้วค่อยกล่าว
ฉินซีที่เห็นทีท่าที่นิ่งเงียบของเขา ความโกรธในใจพลันปะทุเผาผลาญ
เธอปลดเข็มขัดนิรภัยออก ถลึงตาใส่ลู่เซิ่น มือที่อยู่ข้างลำตัวกำเอาไว้แน่น
“นายพูดสิ!”
ฉินซีโมโหแทบเป็นบ้า พวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันมานานถึงขนาดนี้ ไม่เคยทะเลาะกันหนักขนาดนี้มาก่อน
ลู่เซิ่นที่เผชิญต่อดวงตาที่โมโหโกรธของเธอ ดวงตาที่ดำขลับประกายแววตาที่ลึกซึ้ง
เขาลุกขึ้นกะทันหัน รั้งฉินซีเข้าสู่อ้อมกอด
ลู่เซิ่นไม่สนใจการต่อต้านของฉินซี พลันก้มหน้าลงประทับริมฝีปากของเธอ
“อือ…..”
ฉินซีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าลู่เซิ่นจะมาไม้นี้
ไฟโกรธของเธอยังไม่ดับมอด พลันผลักอกของลู่เซิ่นด้วยความโมโห เพื่อผลักไสเขาออก
หากแต่ กำลังระหว่างชายหญิงนั้นมีความแตกต่างกันมาก
แม้ว่าฉินซีจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ลู่เซิ่นเสมือนกับกำแพงเหล็ก ที่ยึดมั่นอยู่กับที่ไม่ไหวติง
ไม่นาน ดื่มด่ำกับวังวนที่เขาสร้างขึ้น
ฉินซีไม่ต่อต้านอีกต่อไป ถึงกับอ้าปากตอบกลับจูบที่เร่าร้อนของเขา
ทั้งสองกอดรัดกันแน่น ยากที่จะแยกจาก
สักพัก ฉินซีรู้สึกถึงอากาศในช่องอกที่น้อยลงทุกที ใบหน้าที่ขาวนวลค่อยๆ แดงขึ้น
เธอออกแรงทุบอกของลู่เซิ่น เพื่อบอกให้เขาหยุด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอจะขาดอากาศหายใจตายเสียก่อน
ลู่เซิ่นก้มหน้า กล่าวอย่างรู้สึกผิด “โทษที”
ฉินซีรู้ตัวขึ้นมา ว่าอาการเมื่อสักครู่ของเธอนั้นตื่นตัวเกินไป
เมื่อจ้องมองเธอที่รู้สึกผิด นัยน์ตาของลู่เซิ่นเต็มไปด้วยความเห็นใจ
ลู่เซิ่นถอนหายใจ โอบเธอเอาไว้ในอ้อมกอด “เฮ้อ…..”
น้ำเสียงของเขาฉาบไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก”
อาการของฉินซี ไม่ได้กลับมาเป็นปกติมาโดยตลอด
ในช่วงนี้ เธอบีบบังคับตัวเองตลอด ตอนนี้เธอระเบิดออกมาในระหว่างการหนีเอาชีวิตรอด
ลู่เซิ่นกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “เป็นความผิดของผมเอง ผมดูแลคุณไม่ดี”
เขาลูปไล้เส้นผมที่ดำขลับของฉินซี ด้วยสายตาที่ประกาย
ฉินซีรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่ส่งผ่านมายังร่างของเขา เธอถึงได้ใจเย็นลงบ้าง “ลู่เซิ่น ฉันรักนายมาก ฉันอยากจะอยู่กับนายไป”
ไม่ง่ายนักที่เธอจะสารภาพความในใจของตนกับลู่เซิ่นอย่างขัดเจนแบบนี้
ที่ผ่านมา ฉินซีมีนิสัยค่อนข้างไม่แสดงออก
เธอชอบลู่เซิ่น แต่น้อยนักที่เธอจะพูดออกมา แต่จะแสดงออกโดยการกระทำซะมากกว่า
เหตุผลหลัก เป็นเพราะการสั่งสอนในอดีต
ปัญหาที่ฉินซีขาดแคลนด้านความรัก ทำให้เธอไม่รู้ว่าควรที่จะแสดงออกอย่างไร
เมื่อลู่เซิ่นได้ยินประโยคของเธอ เขานิ่งอึ้ง “ผมก็รักคุณ เราจะต้องครองคู่กันไปจนแก่เฒ่าแน่”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า ดวงตาดำขลับประกายแสง
ครั้งนี้ ต่อให้จ้านเซินอัญเชิญเทพประมุกลงมา ก็อย่าคิดว่าจะแยกเขากับฉินซีออกจากกัน
ฉินซีสูดหายใจเข้าเต็มปอด พยายามเก็บกลั้นความขมขื่นในใจ “ลู่เซิ่น ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
แม้ว่าเธอจะอยากกอดลู่เซิ่นนานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ตอนนี้ทั้งเวลาและสถานที่ไม่เอื้ออำนวย
เมื่อลู่เซิ่นเห็นว่าเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว ถึงไอ้พยักหน้า “โอเค”
เครื่องยนต์ทำงานอีกครั้ง
ฉินซีพาลู่เซิ่น เดินทางมาที่ชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างยากลำบากเธอไม่หยุดอยู่กับที่ หากแต่เดินไปตามเขาขึ้นไปด้านบน
ยิ่งเดินไปข้างหน้า ผู้คนก็ยิ่งน้อยลง
ฉินซีจอดรถทิ้งเอาไว้ที่ตีนเขา “อาเซิ่น ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง พอจะเดินได้ไหม?”
เธอหันไปทางลู่เซิ่นด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถอดทนอยู่ได้ไหม
หนทางแคบลงทุกที รถไม่สามารถขับขี่ขึ้นไปได้แน่
“ได้”
ลู่เซิ่นไม่เล่นตัว ทีแรกบาดแผลที่หนักกว่านี้ เขาก็ยังสามารถหนีรอดมาคนเดียวได้ แถมตอนนี้ยังมีฉินซีที่อยู่ข้างหาย ต่อให้ทำเพื่อฉินซี เขาก็จะอดทนสู้ให้ถึงที่สุด
ฉินซีจับจ้องใบหน้าที่ขาวซีดของเขา พลันเกิดความสงสัย “คุณพักผ่อนตรงนี้ก่อน ฉันจะไปซ่อนรถสักหน่อย อีกเดี๋ยวเมื่อพวกเราไปจากที่นี่ ค่อยขับรถออกไป”
หากเธอจอดรถเอาไว้ตรงนี้ ด้วยความชาญฉลาดของจ้านเซิน ต้องเดาได้แน่ ว่าพวกเขาขึ้นไปจากตรงนี้
เพราะงั้น ฉินซีคิดว่าต้องสร้างค่ายหลอกล่อ
ถึงตอนนั้น ต่อให้จ้านเซินพบรถเข้า เขาก็จะถูกหลอกล่อ
วิธีนี้จะทำให้เธอมีเวลาหนีมากขึ้น
“ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ”
ลู่เซิ่นไม่ไว้วางใจที่จะให้เธอไปคนเดียว จึงยื่นข้อเสนอ
ฉินซีส่ายหน้า ด้วยความมุ่งมั่น “ไม่ต้อง ฉันไปคนเดียวสะดวกกว่า พาคุณไปด้วยเวลาก็จะยิ่งช้า”
หากลู่เซิ่นไม่บาดเจ็บ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ไม่ได้
ลู่เซิ่นรู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่ควรขยับมาก จึงได้แต่ตอบตกลง “ได้ ถ้างั้นคุณระวังตัวด้วย”
ตอนนี้พวกเขามาได้ปิดโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้จับสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือได้ จนหาตัวพวกเขาพบ
“อืม คุณไปหาที่ซ่อนตัวก่อน เดี๋ยวฉันกลับมา”