บทที่1488 อดกลั้นอย่างเต็มที่
ฉินซีข่มขู่ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความแน่วแน่
ลู่เซิ่นรู้ ฉินซีพูดจริงทำจริงมาโดยตลอด
เขาได้แต่ใช้ความคิดอย่างหนักหาข้ออ้าง “ฉินซี เธอใจเย็นหน่อย ฉันรักเธอ เรื่องนี้จนตายก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำตอนนี้ ล้วนแต่เพื่ออนาคตของเราสองคน เพียงแต่ตอนนี้ยังบอกเธอไม่ได้ หวังว่าคุณจะเข้าใจ ให้ผ่านไปอีกซักระยะดีไหม ฉันจะไปหาเธอแน่นอน”
ลู่เซิ่นพูดปลอบโยนเสียงต่ำ หวังว่าฉินซีจะเชื่อใจตน
อันที่จริง ในใจของลู่เซิ่นก็เจ็บปวดมาก
เขาเองก็อยากเจอฉินซีมาก แต่ก็ไม่หวังให้เธอกังวลไปด้วย
ฉินซีฟังออกว่าเขาไม่เตรียมที่จะบอกตน หัวใจก็เย็นลงทันที
ฟันกัดริมฝีปากแน่น ฉินซีผิดหวังแล้วจริงๆ
ฉินซีแอบตัดสินใจ ในเมื่อลู่เซิ่นไม่เตรียมที่จะสารภาพ งั้นก็อย่าโทษว่าเธอทำอะไรโดยพลการ
“โอเค ฉันรู้แล้ว”
ฉินซีบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง ฝืนรอยยิ้มออกมา
เธอแสร้งทำทีเข้าอกเข้าใจ แต่ที่จริงกลับคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าขั้นต่อไปจะทำยังไง
เหยาจ้าวยืนอยู่ด้านข้าง มองใบหน้าที่บอบบางของเธอ รู้สึกน่ากลัวอย่างอธิบายไม่ได้
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เอาแต่รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ของฉินซีมันแปลกๆ ราวกับมีคนต้องทุกข์ทรมาน
เดิมทีลู่เซิ่นนึกว่าตนยังจะต้องเปลืองน้ำลายอีก ถึงจะสามารถหยุดความอยากรู้อยากเห็นของฉินซีได้ แต่คิดไม่ถึงว่า จะคลี่คลายได้ง่ายดายแบบนั้น
ในใจเขาถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก พูดพลางยิ้มบางๆ “วางใจเถอะ ไม่ปล่อยให้เธอรอนานหรอก”
จากการวินิจฉัยของโจวซิง อีกครึ่งเดือน เขาก็สามารถฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
ถึงตอนนั้น เรื่องที่ลู่เซิ่นจะทำเป็นอย่างแรก ก็คือไปหาฉินซี
“อื้มอื้ม”
ฉินซีพยักหน้าเป็นเด็กดี “งั้นนายทำธุระเถอะ ทางฉันยังมีธุระ ไม่สะดวกคุยเยอะ วางล่ะ”
พูดจบ เธอก็วางสายโทรศัพท์ไปทันที
การเคลื่อนไหวของฉินซีว่องไวมาก ไม่ให้เวลาลู่เซิ่นได้ตอบสนองเลย
แต่ว่า ลู่เซิ่นเองก็สามารถเข้าใจได้
ถึงอย่างไรตอนนี้ตัวของฉินซีก็อยู่ในองค์กร เรื่องทุกอย่าง จำเป็นต้องระมัดระวัง
วันนี้ฉินซีโทรศัพท์มาหาตน ก็เสี่ยงมากแล้ว
ถ้าเวลาที่คุยสายนานเกินไป ง่ายมากที่จะถูกจ้านเซินจับได้ ถึงตอนนั้นจะยุ่งยาก
ลู่เซิ่นหาข้ออ้างต่างๆนาๆมาช่วยฉินซีปกปิดอยู่ในใจ แต่ไม่รู้ว่าเพียงเพราะฉินซีอารมณ์ไม่ดีเฉยๆหรือเปล่า ดังนั้นถึงวางสายไป
หลังจากฉินซีวางสาย ก็มองไปบนโต๊ะด้วยแววตาเป็นประกาย
ท่าทางที่มืดมนแบบนี้ ทำให้เหยาจ้าวอดไม่ได้ที่จะไว้อาลัยให้อุปกรณ์ของตนสามวินาที
เหยาจ้าวเอ่ยปากร้องไห้อย่างไม่มีน้ำตา “คุณป้า โกรธก็โกรธไป อย่าทำลายข้าวของเด็ดขาด ต่อให้ทำลายข้าวของ ก็อย่าทำลายที่นี่นะ”
เขาก้าวไปข้างหน้า มองไปที่ฉินซีอย่างระแวดระวัง หวังว่าเธอจะแสดงความเมตตา ปล่อยของล้ำค่าน้อยๆเหล่านี้ของตนไป
ต้องรู้ว่า ของเหล่านี้เป็นกำลังกายและสมองในการค้นคว้าตลอดหลายปีของเหยาจ้าว จะถูกทำลายไปแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ก็ต้องเริ่มต้นใหม่
ฉินซีได้ยินเสียง ก็ค่อยๆได้สติกลับมา “ฉันรู้”
เธอเอ่ยปากอย่างเย็นชา สีหน้าไม่แยแส
“ออกไปปฏิบัติภารกิจครั้งต่อไป ฉันจะไปหาลู่เซิ่นที่โรงพยาบาล นายจัดเตรียมให้ฉันหน่อย”
ฉินซีเอาความคิดของตน บอกกับเหยาจ้าวตั้งแต่ต้นจนจบ
ตอนนี้ในองค์กร เธอสามารถไว้วางใจได้ก็มีแค่เหยาจ้าวเท่านั้น
“อะไรนะ!”
เหยาจ้าวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ราวกับได้ยินอะไรที่น่ากลัว
เดิมทีเขานึกว่าฉินซีคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ก็วางใจได้จริงๆแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่า เธอตัดสินใจที่จะไปหาลู่เซิ่น
“ฉินซี หรือว่าเธอไม่กลัวจ้านเซินรู้เข้าหรอ?”
เหยาจ้าวพูดอย่างประหม่า หม่นหมองลงทันที
เขารู้สึกว่าฉินซีตอนนี้จะต้องถูกชนจนมึนหัวแน่ ไม่อย่างนั้นจะพูดคำอย่างนี้ออกมาได้ยังไง
พูดถึงเรื่องธุรกิจ ใบหน้าของเหยาจ้าวเองก็เก็บรอยยิ้มที่ชิวๆสบายๆไว้
ฉินซีรู้ถึงผลลัพธ์จากการกระทำแบบนี้ของตนเป็นธรรมดา ว่าอันตรายขนาดไหน “ถูกรู้เข้าแล้วจะเป็นยังไงได้ อย่างมากก็แค่ความตาย ยังไงก็ดีกว่าใช้วิตอยู่แบบนี้”
ตอนที่เธอพูด ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่โศกเศร้าแต่งดงาม
ฉินซีราวกับคิดได้แล้ว แต่มีเพียงในใจของเหยาจ้าวที่รู้ดี ว่าตอนนี้เธอเสียใจมากแค่ไหน
คนคนหนึ่งที่โหยหาอิสรภาพขนาดนั้น กลับถูกตัดปีกทิ้ง กักขังไว้ในกรง
ตอนนี้แม้แต่ความคาดหวังอย่างระมัดระวังอันน้อยนิดในใจ ก็ค่อยๆจางหายไป เธอจะเป็นปกติอยู่ได้ยังไง
“เฮ้อ……”
เหยาจ้าวถอนหายใจ คิ้วตาเต็มไปด้วยความปวดใจ “ฉันรู้แล้ว ฉันจะช่วยเธอ”
ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ที่จะมองดูฉินซีตกลงไปในเหวลึกเพียงคนเดียว
ถึงอย่างไรเขาก็ตัวคนเดียว ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจจะมีการฝ่าฟันใหม่ๆ
ฉินซีได้ยินเขาพูดแบบนี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจริงใจที่หาได้ยากออกมา “พี่ชาย ขอบคุณนะ”
น้อยมากที่เธอจะเรียกเหยาจ้าวว่าพี่ชาย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง กลับเป็นเลือดข้นกว่าน้ำ
นอกประตู
ดวงตาสีดำเข้มของจ้านเซินก็เผยแสงน่าประหลาด พายุฝนรุนแรงบรรจุอยู่ในนั้น
เดิมทีเขานึกว่าฉินซีทำใจได้แล้วจริงๆ กลับนึกไม่ถึงว่า ที่แท้ทั้งหมดนี่คือกำลังหลอกเขา
มือทั้งสองที่วางอยู่ข้างกายกำหมัดแน่น หัวใจของจ้านเซินเต้นรัวอย่างรุนแรง เส้นเลือดที่แขนนูนขึ้นมา
เขาหันตัวจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ทั่วตัวแผ่ออร่าที่มืดมน
ทั้งสองคนไม่รู้เลย ว่าเรื่องที่พวกเขาวางแผนไว้ จ้านเซินได้ยินหมดแล้ว
……
วันนั้น
ฉินซีถูกจ้านเซินเรียกตัวอีกครั้ง
“ฉินซี พรุ่งนี้มีภารกิจหนึ่งสำคัญมาก จำเป็นต้องให้เธอออกไปปฏิบัติการ”
จ้านเซินมองตรงไปที่ฉินซีที่ยืนอยู่ตรงข้าม ในใจรวบรวมลมพายุ
เขาคิดไม่ถึงเลย ว่าคนสองคนที่เคยสนิทกัน ตอนนี้จะเดินมาถึงจุดนี้ได้
ทั้งๆที่ฉินซียืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่จ้านเซินกลับอ่านใจเธอไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ฉินซีกำลังเตรียมจะหาโอกาสออกไป ไม่คาดคิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้
เธอระงับความสุขในใจลง แสร้งทำท่าทีเคร่งขรึม พยักหน้า “โอเค ฉันจะกลับไปเก็บกระเป๋า”
ฉินซีพูดอย่างแทบทนรอไม่ไหว หลังจากพูดจบ ก็หันตัวจะจากไป
“รอเดี๋ยว!”
แสงเย็นแวบผ่านดวงตาของจ้านเซิน มองแผ่นหลังของเธอ ทันใดนั้นก็เรียกให้เธอหยุด
ขาของฉินซีชะงัก หันตัวอย่างสงสัย “ทำไมหรอ?”
ในใจเธอมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ แต่เธอก็พูดไม่ออกว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่
จ้านเซินเอ่ยปากนิ่งๆ “ฉินซี ก่อนที่จะไปปฏิบัติภารกิจ เธอมีอะไรอยากจะพูดกับฉันไหม?”
สาเหตุที่เขาถามแบบนี้ เพราะอยากจะให้โอกาสฉินซีซักครั้ง
แต่ว่า ฉินซีกลับไม่เข้าใจ
ตอนนี้ในใจเธอมีแต่ลู่เซิ่น “ไม่มีนะ”
ฉินซีมองจ้านเซินแปลกๆ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถามแบบนี้
พูดคำนี้ออกไป ในใจจ้านเซินก็เจ็บปวด
มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา “ฉันรู้แล้ว เธอออกไปเถอะ”
ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำหมัดแน่น เขาอดกลั้นไว้สุดกำลัง ในใจมีความคิดแล้ว