ฉินซีพูดอย่างตรงไปตรงมา “จ้านเซิน ฉันรู้ว่านายกำลังกังวลอะไร ฉันก็อยากจะใช้การกระทำของฉันมาพิสูจน์
ถึงใจของฉันที่มีต่อองค์กร ภารกิจครั้งนี้ ต่อให้ฉันไม่ออกโรง จั่วยีกับจั่วเอ้อสุ่มส่งคนไป ก็สามารถทำให้สำเร็จได้”
เธอชะงัก มองไปที่จ้านเซินด้วยสายตาเฉียบคม แสดงความมุ่งมั่นของตน “ฉันไม่หวังว่าฉันกลับมาที่องค์กรเพื่อเป็นคนไร้ประโยชน์ ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตอย่างแต่ก่อน จ้านเซิน นายไม่อยากหรอ?”
ประโยคสุดท้ายของฉินซี จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น
น้ำเสียงของเธอไม่หนักไม่เบา แต่กลับกระแทกเข้าไปในใจของจ้านเซินทันที
จ้านเซินอยาก เขาจะไม่อยากได้ยังไง
เขากระทั่งคิดอย่างบ้าคลั่งว่าอยากที่จะกลับไปก่อนหน้าที่ลู่เซิ่นจะปรากฏตัว ถ้าหากย้อนเวลากลับไป เขาจะไม่ส่งฉินซีไปทำภารกิจนั้นเด็ดขาด ทำให้เธอได้พบกับลู่เซิ่น
แต่ว่า ตอนนี้พูดอะไรก็สายไปแล้ว
สิ่งเดียวที่ทำได้ คือแก้ไขก่อนที่จะสาย หยุดการสูญเสียเวลา
จ้านเซินสบตาของเธอ เม้มมุมปาก “ฉันรู้ความหมายของเธอ แต่ว่าช่วงนี้สภาพร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ เธอไปให้หมอเหยาตรวจร่างกายโดยละเอียดก่อน รอฉันดูผลการตรวจเสร็จ พิจารณาดีแล้วค่อยบอกเธอถึงการตัดสินใจของฉัน”
เขาไม่ได้รับปากคำขอของฉินซีในทันที ในสมองสงบอย่างมาก
ครั้งนี้จ้านเซินตกลงให้ฉินซีออกไปได้ เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่แล้ว ได้เตรียมการอย่างสมบูรณ์ไว้แล้ว
ไม่มีใครรู้ว่า ความรู้สึกช่วงไม่กี่วันนี้ของจ้านเซินมีความทรมานแค่ไหน
ในตอนที่เขาเห็นฉินซีกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นเหมือนกับสมบัติอันเป็นที่รัก หายไปแต่ได้กลับคืนมาแล้ว
ตอนนี้ จะให้จ้านเซินส่งของรักที่ถือไว้ในฝ่ามือออกไปเร็วขนาดนี้ ความคิดแรกในใจของเขา ก็ไม่ยินดี
ฉินซีได้ยินเขาพูดแบบนี้ ความผิดหวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่บอบบาง
แต่ว่า เธอรู้ เมื่อจ้านเซินตัดสินใจอะไรไปแล้ว ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
ฉินซีได้แต่พยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้ เลือกที่จะประนีประนอม “งั้นก็ได้ ฉันจะไปหาเหยาจ้าว”
พูดจบ เธอก็หันตัวออกจากห้องหนังสือไป
จ้านเซินมองแผ่นหลังที่งดงามของเธอ ในใจมีความรู้สึกหลากหลาย
ฉินซีโตแล้ว ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เขาเดินไปที่ไหน เธอก็จะตามไปที่นั่นอย่างเมื่อก่อน
ฉินซีในตอนนี้มีความคิดและจิตใจเป็นของตัวเอง เธอเริ่มเรียนรู้ที่จะปิดบังแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ฉินซีโกหก จ้านเซินก็คงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของลู่เซิ่นจนถึงตอนนี้ ในตอนที่เขาอยากแยกทั้งสองออกจากกัน ก็สายเกินไปแล้ว ได้แต่เลือกใช้วิธีบีบบังคับที่ผิดกฎหมาย
……
ฉินซีเดินหน้าไปหาเหยาจ้าวทันที
เธอหาเหยาจ้าวที่ห้องไม่เจอ คิดแล้วจึงมาที่ห้องทดลอง
ฉินซีผลักประตูห้องทดลองออก แน่นอนว่าเห็นเหยาจ้าวอยู่ข้างในสวมแว่นถนอมสายตา จดจ่ออยู่กับการปรุงอะไรบางอย่าง
ทุกครั้งที่เหยาจ้าวทำงาน เขาจะแสดงให้เห็นอีกด้านที่ต่างไปจากเดิมมาก
มองไปที่ท่าทางที่จดจ่อของเขา ฉินซีไม่ได้เดินเข้าไปขัดจังหวะความคิดของเขาในทันที
ฉินซีหาเก้าอี้ตัวหนึ่ง นั่งลงด้านข้าง เฝ้าดูท่าทางการทำงานของเขา
ตอนแรกเธอยังมองไปที่เหยาจ้าวด้วยความตั้งใจ แล้วความคิดของฉินซีก็เริ่มค่อยๆล่องลอยไป
ฉินซีห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะนึกถึง ท่าทางตอนที่ลู่เซิ่นจูบเธอเมื่อวาน
นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉินซีสัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงความเป็นเจ้าของในแบบพิเศษของผู้ชายที่แผ่ออกมาจากตัวของลู่เซิ่น
ความรู้สึกที่ถูเธอเข้าไปถึงเลือดถึงเนื้อจนแทบทนไม่ไหว ทำให้เธอหลงใหลและพึงพอใจมาก
ท่าทางที่เร่าร้อนแบบนี้ ทำให้ฉินซีรู้สึกว่า ลู่เซิ่นรักเธอมากจริงๆ
มุมปากของฉินซีโค้งขึ้นเล็กน้อย นึกถึงลู่เซิ่นที่เพื่อตนแล้วก็ไม่ลังเลที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อไปเจอเธอที่งานเลี้ยง รู้สึกรักเขามากขึ้นทันที
สายตาของเธอแม้ว่าจะหยุดอยู่บนตัวของเหยาจ้าว แต่ว่าสมองกลับบินออกไปโดยสมบูรณ์ ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเหยาจ้าวทำการทดลองเสร็จสิ้นแล้ว วางอุปกรณ์ในมือลง แล้วเดินมาทางเธอ
เหยาจ้าวเห็นฉินซีมา ใบหน้าก็เผยความประหลาดใจ
เขากำลังคิดจะถามว่าฉินซีมาทำไม แต่กลับไม่ส่งเสียง ยิ่งเห็นรอยยิ้มแปลกๆบนใบหน้าของฉินซี
หลังจากเหยาจ้าวเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย พบว่าดวงตาทั้งคู่ของฉินซีหย่อนลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ว่า จากรอยยิ้มของเธอ เหยาจ้าวก็มองออกถึงกลิ่นอายบ้าผู้ชาย
เหยาจ้าวทำท่ายืดตัวตรง ทำหน้าตามเดิมแล้วส่งเสียงกระแอมเบาๆ “อะแฮ่ม…..”
เสียงที่ดังมากะทันหัน ขัดจังหวะความคิดของฉินซี
มือของฉินซีที่ชันคางอยู่ คลายออกทันที เกือบจะล้มลงกับพื้น
เธอยึดตัวไว้อย่างตื่นตระหนก จ้องเขม็งไปที่เหยาจ้าวด้วยความโมโห “นายเดินไม่มีเสียงเลยหรอ!”
ฉินซีพูดก่อนอย่างดุร้าย ทำให้เหยาจ้าวไร้คำจะพูด
“ฉินซี เธอพูดไม่มีเหตุผลอ่ะ เห็นๆอยู่ว่าเธอมาหาฉันก่อน กลับมานั่งไม่สนใจอยู่ตรงนี้ ฉันเคลื่อนไหวนิดหน่อยเพื่อเตือนเธอ กลับถูกเธอดุด่า ฉันเสียเปรียบไหม!”
ใบหน้าของเหยาจ้าวเผยความน้อยใจ มีแค่ตอนที่อยู่ต่อหน้าฉินซี เขาถึงได้แสดงท่าทางที่แท้จริงที่สุดโดยไม่ได้ป้องกัน ฉินซีเองก็เหมือนกัน
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ใบหน้าของฉินซีก็เผยความขัดเขิน
แต่ว่า ต่อให้ไม่ถูกฉินซีก็ไม่ยอมรับ
เหยาจ้าวในฐานะผู้ชาย เป็นธรรมดาขี้เกียจโต้เถียงเรื่องเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นเขาถูกฉินซีดุด่าจนชินมาตั้งนานแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้ไม่เจ็บไม่ปวดเลยซักนิด
เขาเลิกคิ้ว เปิดปากเอ่ยถามอย่างขี้เม้า “พูดซิ เมื่อกี้ทำไมเธอถึงแสดงรอยยิ้มที่ไม่สุภาพแบบนั้น คิดถึงเรื่องอะไรที่น่าสนใจใช่ไหม”
ในตอนที่เหยาจ้าวพูด ก็เน้นคำว่า “น่าสนใจ” เป็นพิเศษ
มองไปที่ท่าทางเล่นหูเล่นตาของเหยาจ้าว ในใจของฉินซีก็หมดคำจะพูด
ทำไมเธอถึงรู้สึกไปได้ว่าหลังจากกลับมาครั้งนี้ เหยาจ้าวจะปล่อยนิสัยธรรมชาติไปได้อย่างสั้นเชิงต่อหน้าเธอ
ฉินซีหวนนึกถึงฉากในตอนนั้น ภายใต้การซักถามของเหยาจ้าว แก้มก็แดงอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ “ไม่มี มีเรื่องอะไรน่าสนใจซะที่ไหน ฉันเตือนนายไว้นะ นายอย่าพูดมั่วซั่ว!”
เธอพูดไปพูดไป ออร่าของเธอก็พุ่งขึ้นอีกครั้ง
ฉินซีแสร้งทำเป็นจ้องเขาอย่างดุร้าย เลี่ยงไม่ให้เขาซักถามรายละเอียดต่ออย่างไม่รู้กาลเทศะ
แต่เหยาจ้าวเบื่อมากจริงๆ เขาเองก็อยากออกไปเดินเล่น แต่จ้านเซินไม่อนุญาต
“ฉินซี เธอก็เนรคุณเกินไปหรือเปล่า ฉันช่วยเธอมาตั้งเยอะแล้ว แม้แต่ความสนุกเล็กๆน้อยๆนี้ เธอก็ไม่เต็มใจที่จะแบ่งปันกับฉันหรอ?”
เหยาจ้าวขนตั้งขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าฉินซีแย่เกินไปจริงๆ
เขาถอยหลังไปครึ่งก้าว มองไปที่ฉินซีอย่างโกรธเคือง “หลายปีมานี้ คิดซะว่าฉันตาบอด มองคนผิดไป นับแต่วันนี้ ทางใครทางมัน ความสัมพันธ์ของฉันกับเธอ เธอเลิกคิดที่จะได้ประโยชน์อะไรจากฉัน กูโกรธแล้ว โกรธแบบง้อยากด้วย!”
เหยาจ้าวท้าวเอว จ้องไปที่เธอ ท่าทางแบบนี้เป็นการอ้อมค้อมมาก
มุมปากของฉินซีกระตุกเล็กน้อย หมดคำจะพูด