ฉินซียืดตัวตรงยืนอยู่ที่เดิม “ถ้านายอยากจะขอบคุณจริงๆ งั้นก็ไปขอบคุณประธานหลูของพวกนายเถอะ เขาช่วยนายไว้”
คำพูดนี้ของเธอทำให้ประธานหลูมองเธอเปลี่ยนไป
บนตัวฉินซีมักจะมีออร่าที่ไม่ถูกล่อลวงด้วยสิ่งยั่วยุ นี่คือความมั่นคงหลังจากผ่านการตกตะกอนมาแล้ว
พูดตามหลักเหตุผล ออร่าแบบนี้ไม่ควรปรากฏอยู่บนตัวของฉินซี แต่ว่า ในตอนที่เธอปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ กลับทำให้คนไม่อาจหลบสายตาได้
ความเป็นผู้ใหญ่และบริสุทธิ์แบบนี้ เสน่ห์ของทั้งสองผสมกันไม่มีใครสามารถต้านทานได้
ลู่เซิ่นเห็นว่าทุกคนถูกฉินซีทำให้สับสน ความหึงหวงในใจก็พลิกคว่ำทันที
เขาตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะต้องพร่ำสอนฉินซีให้ดี ให้เธอสำรวมในที่ที่มีคนเยอะหน่อย อย่าไปดึงดูดความสนใจของคนอื่น
ไม่อย่างนั้น บนหัวของเขาก็จะกลายเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวแล้ว
ลู่เซิ่นไม่อยากให้สถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น กฎประจำบ้านนี้จะต้องกำหนดขึ้น
ฉินซีเอ่ยปากพูดต่อ “ขอโทษนะคะ ประธานหลู ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว วันนี้ขอตัวลาไปก่อน”
ความอ่อนเพลียปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่บอบบาง เธอดูมีสีหน้าซีดขาวมาก
ทุกคนต่างรู้สึกโดยไม่รู้ตัวว่าต้องเป็นเพราะหรูเว่ยเสียงลงมือหนักเกินไปแน่ ดังนั้นฉินซีถึงตกใจ กลัวจนตอนนี้เธอไม่สบายตัว
หลูจื๋อหลินเองก็มีความคิดเดียวกัน เขาพูดอย่างรู้สึกผิด “คุณฉิน ร่างกายคุณสามารถยืนหยัดจนถึงบ้านไหม? ต้องการให้ผมหาคนพาคุณไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดไหม?”
ถ้าไม่ใช่เพราะคืนนี้มีงานเลี้ยงต้องดูแล หลูจื๋อหลินอยากที่จะพาเธอไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองจริงๆ แสดงความอ่อยโยนละเอียดอ่อนของเขา และเผยด้านที่เป็นลูกผู้ชายอย่างมาก
แต่ว่าคนที่อยู่ในสถานที่ตอนนี้มีเยอะ เขายังต้องรีบเอาเอกสารสำคัญกลับมา ไม่สามารถไปส่งฉินซีได้จริงๆ
ฉินซีส่ายหัว เธอฝืนยิ้มออกมา ดูแล้วช่างแห้งเหี่ยว “ไม่ต้องหรอก ประธานหลู ฉันให้ผู้ช่วยพาฉันไปส่งก็โอเคแล้ว”
เธอรู้ดีว่าหลูจื๋อหลินเพียงแค่สุภาพเท่านั้น เขาตอนนี้ไปไม่ได้แน่นอน
ดังนั้นฉินซีจึงไม่กังวลว่าเขาจะยืนกรานที่จะกลับไปกับตน
หลูจื๋อหลินได้ฟังว่าเธอมีคนไปส่ง ในใจก็ถอนหายใจยาว “งั้นก็โอเค คุณฉินเดินทางกลับต้องระวังความปลอดภัยด้วย ถึงบ้านแล้วอย่าลืมส่งข้อความบอกผม ไม่อย่างนั้น ผมก็ไม่อาจวางใจได้”
เชาอ่อนโยนราวกับน้ำ พูดกำชับเธอสองประโยค
“โอเคค่ะ”
ฉินซีพยักหน้ารับ พริบตาเดียวก็โยนไปหลังศีรษะ
ได้หลักฐานมาไว้ในมือแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เอาไปส่งที่สถานีตำรวจ ให้ทนายความฟ้องหลูจื๋อหลินในข้อหาเลี่ยงภาษี
พูดตามหลักเหตุผล หลังจากคืนนี้ไปทั้งสองก็ไม่มีโอกาสได้ติดต่อกันแล้ว
ถึงอย่างไร อีกเดี๋ยวหลูจื๋อหลินก็จะถูกจับเข้าคุก แม้ว่าเธออยากจะไปเยี่ยม ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นับประสาอะไรกับที่เธอไม่ได้อยากไปเลย
ฉินซีโบกมือให้เขา “ประธานหลู งั้นฉันขอลาไปก่อน”
ขณะที่พูด เธอก็หันตัวไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ เดินไปที่ประตูใหญ่
การเคลื่อนไหวของฉินซีเรียบร้อยเก๋ไก๋ ทุกคนต่างหลีกทางให้เองตลอดทาง ให้ฉินซีก้าวไปข้างหน้า
สายตาของผู้ชายจ้องมองเธอไม่วางตา ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้หญิงคนอื่นในสายตาพวกเขา
ถ้าบอกว่าฉินซีเป็นดวงดาวที่ไม่อาจเอื้อมได้ในคืนที่มืดมิด แขวนอยู่บนท้องฟ้าส่องแสงสว่างสดใส งั้นผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ในที่นี้ก็เป็นดอกไม้ป่าที่อยู่บนพื้น ดูเหมือนมีกลิ่นหอม แต่พอดมแล้วกลับส่งกลิ่นเหม็น
พวกเธอทั้งหมดรวมกันยังไม่อาจเทียบได้กับฉินซีเพียงคนเดียว
ฉินซีไม่รู้ว่าการประเมินเธอในใจของผู้คนนั้นสูงขนาดนี้ แต่ต่อให้เธอรู้แล้ว เธอก็ไม่เก็บมาใส่ใจ
แต่เดิมเธอก็ไม่สนใจสิ่งที่คลุมเครือ เธอหวังเพียงว่าจะสามารถจบชีวิตในตอนนี้แล้วได้กลับไปอยู่กับลู่เซิ่นโดยเร็ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ธรรมดา แล้วสามารถมีชีวิตที่มีความสุขกับลู่เซิ่นได้ งั้นเธอก็ยินดีที่จะแลกเปลี่ยน
น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีถ้า ทุกคนล้วนมีเส้นทางเดินที่แต่งต่าง เพียงแต่เส้นทางของเธอนั้นลำบากกว่าคนอื่น
กวีโบราณได้กล่าวไว้อย่างดี
เมื่อพระเจ้ามอบหมายงานสำคัญให้ ก็จะต้องฝึกฝนจิตใจให้แน่วแน่ ออกกำลังกายใจ อดทนต่อความหิวโหย ความสิ้นเนื้อประดาตัว
ฉินซีเชื่อมาโดยตลอด ว่าการที่พระเจ้าให้เธอแบกรับความยากลำบากนี้ ทั้งหมดก็เพื่อจะได้มีชีวิตที่มีความสุขในอนาคต เลยวางรากฐานที่มั่นคงไว้
ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้น งั้นทั้งหมดที่เธอประสบมาในตอนนี้ก็คุ้มค่า
ภายใต้การจ้องมองของผู้คน ฉินซีเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไป
เธอยืนอยู่หน้าประตู รอการมาถึงของจั่วเอ้ออย่างเงียบๆ
ไม่นาน รถคาเยนน์สีดำก็มาหยุดอยู่ที่ประตูโรงแรม
ฉินซีเดินลงขั้นบันไดด้วยขาที่เรียวยาว เปิดประตูรถ เข้าไปนั่ง
“ไปเถอะ”
เธอเอ่ยปากแผ่วเบา มองเข้าไปในโรงแรมด้วยสายตาเศร้าสร้อย
ฉินซีรู้ ตอนนี้ลู่เซิ่นยังอยู่ข้างในไม่ได้ออกมา
แต่ว่า เธอกลับต้องไปแล้ว
ยังไม่รู้ว่าจากกันครั้งนี้ จะได้เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่
คิดมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของฉินซีก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเศร้าใจขึ้นมา
ฉินซีมองตรงไปนอกหน้าต่าง จนกระทั่งมองไม่เห็นอีก ถึงค่อยๆเก็บสายตากลับมา
เธอหลับตาลง ระหว่างคิ้วตาซ่อนความเหนื่อยล้า
จั่วเอ้อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของเธอ ก็ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินซีปรับอารมณ์ได้ ก็เอ่ยปากถาม “ทางฝั่งจั่วยีจัดการเรียบร้อยไหม?”
เมื่อกี้เธอส่งหลักฐานให้จั่วยี ให้เขาเอาออกไป ส่งแฟกซ์ไปให้จ้านเซินก่อน ป้องกันไม่ให้ลูกน้องของหลูจื๋อหลินหาเขาเจอ
“จัดการเรียบร้อย คุณฉินวางใจเถอะ”
จั่วเอ้อรายงานด้วยความเคารพ
หลังจากได้รับคำตอบยืนยันจากเขาแล้ว ฉินซีก็ถอนหายใจยาวในใจ “อืม นายขับรถไปรับจั่วยีก่อน แล้วค่อยกลับองค์กรด้วยกัน ฉันเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนเสียหน่อย”
เธอเอ่ยปากแผ่วบา จากนั้นก็หลับตาทั้งสองข้างลง
“ครับ”
จั่วเอ้อไม่กล้าล่าช้า เคลื่อนไหวตามคำสั่งของเธอ
……
ในงานเลี้ยง
หลังจากลู่เซิ่นมองตามเธอจากไป ในใจก็เต็มไปด้วยความทำอะไรไม่ได้
ผู้จัดการที่มาใหม่เห็นเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ก็โมโหทันที
เขาก้าวไปตรงหน้าของลู่เซิ่นอย่างรวดเร็ว พูดด้วยเสียงรุนแรง “แกมานี่ ฉันให้แกมาทำงาน แกกลับมาแอบขี้เกียจอยู่ตรงนี้ เงินค่าทำงานวันนี้ไม่อยากได้แล้วใช่ไหม!”
เขาสังเกตลู่เซิ่นมานานแล้ว ยืนโง่อยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“ผมจะรีบไปทำงาน”
ลู่เซิ่นเก็บสายตากลับมา พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“แก….”
ผู้จัดการยังอยากสั่งสอนเขาต่อ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ลู่เซิ่นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ผู้จัดการมองแผ่นหลังของลู่เซิ่น โกรธเป็นฟืนเป็นไฟในใจ
พนักงานคนนี้ไม่มีวิสัยทัศน์เลยซักนิด ไม่รู้ผ่านการสัมภาษณ์มาได้ยังไง
ผู้จัดการตัดสินใจ รอให้งานเลี้ยงคืนนี้จบลง เขาจะต้องไล่ลู่เซิ่นออกให้ได้
ในเขตของเขา ไม่อนุญาตให้มีพนักงานที่หยิ่งผยองแบบนี้เด็ดขาด
ผู้จัดการไม่รู้เลยว่า ต่อให้เขาไม่ไล่ลู่เซิ่นออก ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ลู่เซิ่นก็จะไม่มาอีกแล้ว