บทที่ 1454 แอบรัก
ซิวหน่ายซิงไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาใช้กลอุบายเด็กน้อยแบบนี้
วันนี้ถังย่าอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่ยอมซิวหน่ายซิงเหมือนแต่ก่อน
“ตึกใหญ่ข้างหน้านี้”
ซิวหน่ายซิงผายนิ้วมือไปพลางพูด
เขาก็แค่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของถังย่าด้วยวิธีนี้
ไม่คิดว่าถังย่าจะเอาจริง
ทันทีที่ซิวหน่ายซิงพูดจบ ลดลง ถังย่าก็พุ่งออกไปเร็วราวกับลูกศร
เธอตะบึงวิ่งท่ามกลางสายฝนคนเดียว ผมสีไวน์แดงพลิ้วไสวตามสายลม เป็นคลื่นนุ่มนวลแลดูงดงาม
ซิวหน่ายซิงยืนอยู่ที่เดิม พลางมองตามหลังของเธอไป ความประหลาดใจจากสิ่งที่สวยงามชวนให้ใจเต้นปรากฏภายในดวงตาของเขา
ถังย่าท่ามกลางสายฝนดูมีความสุขมาก เธอวิ่งไปได้ครึ่งทางแล้วหันกลับมามองเขา
เมื่อเห็นซิวหน่ายซิงยังคงยืนนิ่งถังย่ายิ้มพลางโบกมือมาให้เขา “รีบมาสิ!”
รอยยิ้มของเธอสว่างไสวราวกับเด็กน้อยที่ไร้ซึ่งความกังวล
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอสดใสเหมือนเด็กที่ไร้ซึ่งกังวล
ทันใดนั้น ซิวหน่ายซิงก็รู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ภายในใจของเขา เขามองไปที่ถังย่า อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
เขากวาดต้อนกดพวกความคิดที่ฟุ้งซ่านในใจออกไป ดวงตาดำขลับปรากฏร่องรอยยุ่งเหยิง
บางทีตลอดชีวิตนี้ถังย่าก็คงไม่รู้เลยว่าเขาตกหลุมรักเธอมาตั้งแต่ตอนที่เธอช่วยเขาออกมาจากกองซากปรักหักพัง
ซิวหน่ายซิงไปอยู่ข้างกายเธอ และค้นพบว่าเธอยอดเยี่ยมกว่าที่จินตนาการเอาไว้
เขารู้ตัวดี ว่าตัวเองตอนนี้ ไม่คู่ควรกับถังย่า
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสายตาและหัวใจของถังย่ามีเพียงแค่จ้านเซินคนเดียว
ซิวหน่ายซิงต้องยอมรับว่า เมื่อเทียบกับจ้านเซินแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือความสามารถ เขาก็เป็นรองจ้านเซินทั้งนั้น
มีเพียงสิ่งเดียว มีเพียงใจที่รักถังย่า
บางครั้งซิวหน่ายซิงก็รู้สึกว่าจ้านเซินก็ปฏิบัติกับถังย่าไม่แย่ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ความรัก
เขาไม่รู้ว่าจ้านเซินกับถังย่าตอนจบจะดีหรือไม่ เช่นเดียวกับที่เขาก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาของเขาและถังย่าจะเป็นอย่างไร
แต่ทว่า ซิวหน่ายซิงยังอาลัยอาวรณ์ถังย่า
เพื่อที่จะได้เห็นถังย่าบ่อยๆ เขาจึงเลือกที่จะมาเป็นผู้ช่วยของเธอ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซิวหน่ายซิงปิดบังมันได้ดี
เขาควบคุมสติ ยอมรับความรู้สึกนี้ได้เป็นอย่างดีและไม่มีใครในองค์กรสังเกตเห็น
แต่ว่า ในตอนนี้ซิวหน่ายซิงอดทนไม่ไหว
ความคิดต่ำช้าเกิดขึ้นมา ซิวหน่ายซิงต้องการถังย่า
แต่เมื่อถังย่าหันมาและยิ้มโบกไม้โบกมือให้เขา หัวใจของซิวหน่ายซิงก็สงบลงอีกครั้ง
เขารู้สึกละอายใจกับความไว้ใจที่ถังย่ามีให้เขา
ถังย่าปฏิบัติกับเขาเหมือนน้องชาย แต่เขากลับเกิดมีความรักที่พิกลพิการกับเธอ
“ซิวหน่ายซิง ไปยืนโง่อยู่ตรงนั้นทำไม! ตามฉันมาสิ!”
ถังย่าชะลอฝีเท้า มองไปยังเขาที่ยังนิ่งไม่ไหวติง ก่อนตะโกนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เขาเป็นคนเสนอการแข่งขันนี้ขึ้นมาเอง แต่กลับไม่ร่วมด้วย มันทำให้ถังย่าไม่พอใจมาก
เมื่อเห็นถังย่าเริ่มมีน้ำโห ซิวหน่ายซิงก็ฟื้นคืนสติทันที
เขามองถังย่าที่ยืนท่ามกลางสายฝน ก่อนจะพูดเสียงดัง “ผมต่อให้คุณ ตอนนี้ผมจะรีบแซงคุณไป รอดูเลย!”
ซิวหน่ายซิงแสร้งทำท่าเป็นคึกคัก ก่อนจะวิ่งฝ่าสายฝนมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายทำฉันขำ”
ถังย่ามองเขาอย่างดูถูก และดูไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด “เจ้าเต่าเอ๋ย ต้วมเตี้ยมอยู่ข้างหลังไปเถอะ พี่สาวคนนี้ขี้เกียจรอ”
เธอหมุนกายโบกมือให้ซิวหน่ายซิง จากนั้นจึงพุ่งตัวไปอย่างเร็ว
ในไม่ช้า ถังย่าก็มาถึงจุดหมาย ซิวหน่ายซิงตามมาติดๆ
“ฮู่ฮู่ฮู่… …”
พวกเขาสองคนหอบหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม
ถังย่ายกมุมปากของเธอขึ้นอย่างเยาะเย้ย ก่อนพูดติดตลก “บอกแล้วว่านายวิ่งไม่ทันฉันหรอก ยังไม่เชื่ออีก ร้องจะแข่งกับฉันทั้งวัน แพ้แล้วอย่ามาเบี้ยวแล้วกัน”
เธอเดินไปที่ข้างๆ ซิวหน่ายซิง ก่อนจะวางแขนไว้บนไหล่ของเขาอย่างต้องการพักผ่อน
ซิวหน่ายซิงยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเม็ดฝนบนหน้าผากของเขา และพูดอย่างลำบากว่า “ใครบอกผมวิ่งไม่ทันคุณ ที่ผมแพ้เพราะผมให้คุณวิ่งไปครึ่งทางแล้วต่างหาก”
คำพูดที่มีเหตุมีผลของเขา ทำให้ถังย่าดูหมิ่น
“พอ พอ! แพ้ก็คือแพ้ ฉันไม่ได้ให้นายรอเสียหน่อย นายทำกลอุบายนี้ด้วยตัวเอง แพ้แล้วก็อย่ามาหาข้ออ้าง จะบอกให้นะ วันนี้ฉันไม่มีทางใจอ่อนอีกแล้ว นายต้องเลี้ยงข้าวฉัน”
ถังย่ายกมือขึ้น ห้ามไม่ให้เขาส่งเสียงก่อกวน
คำพูดเธอ ก็เหมือนคำสั่งประหารชีวิต
ความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าของซิวหน่ายซิง เขาจับแขนของถังย่า ก่อนจะเขย่ามันเบาๆ “ไม่ได้นะ พี่ใหญ่ เดือนนี้ผมใช้เงินเดือนหมดแล้ว กินจุแบบคุณ ผมล้มละลายได้เลยนะ”
เขาประสานมือ ทำหน้าตาอ้อนวอนขอความเมตตา “หรือไม่คุณขึ้นเงินเดือนให้ผม ผมจะเลี้ยง เป็นไง?”
ซิวหน่ายซิงมองไปที่ถังย่าอย่างคาดหวังรอคำตอบของเธอ
ถังย่ามองไปที่ใบหน้ายิ้มทะเล้นของเขา ทันใดก็พลันโกรธขึ้นมา
เธอยกมือขึ้น ก่อนจะตบเข้าไปที่หัวซิวหน่ายซิงอย่างแรง “ขึ้นเงินเดือน ฉันจะให้นายร้องตะโกนว่าอยากขึ้นเงินเดือน อย่างนั้นเงินเดือนของนายก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าของฉันแล้ว!”
ลงมือของถังย่าไม่ใช่เบาๆเลย ตัวเธอเองได้ทำงานกับอาวุธหนักมาตลอดทั้งปี น้ำหนักมือไม่ได้เบาเฉกเช่นหญิงสาวธรรมดาทั่วไป
ซิวหน่ายซิงรู้สึกได้ทันทีว่าศีรษะของเขาถูกกระแทกอย่างรุนแรง
ทันใดเขาก็จับศีรษะอย่างลุกลี้ลุกลนด้วยความเจ็บปวด ก่อนร้องเสียงดัง “เจ็บเจ็บเจ็บ! อย่าตีผม อย่าตี ผมรู้แล้ว ผมไม่อยากขอร้องให้ขึ้นเงินเดือนแล้ว”
ซิวหน่ายซิงลนลานไปทั่วพลางป้องศีรษะตัวเอง
ถังย่าไล่ตามเขาไป ความไม่สบายใจเมื่อครู่ถูกเธอโยนทิ้งไปไกลราวสุดขอบฟ้า
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้จะเลี้ยงไหม?”
ถังย่ารีบคว้าตัวเขาไว้อย่างเร็ว หิ้วหูของเขาพลางถามด้วยเสียงเด็ดขาด
เธอมองไปที่ซิวหน่ายซิงอย่างชั่วร้าย ดวงตาของเธอคล้ายจะเตือนซิวหน่ายซิงว่า คิดให้ดีก่อนตอบ ถ้าหากคำตอบไม่เข้าหูเธอเมื่อไหร่ หูคู่นี้คงไม่จำเป็น
ซิวหน่ายซิงตัวสั่นขึ้นมาทันที
เขาพูดด้วยเสียงอันสั่นเทา “เลี้ยง! เลี้ยงครับ! ผมเลี้ยงแล้วโอเคหรือยัง?”
เพื่อชีวิตน้อยๆของเขา ซิวหน่ายซิงเลือกประนีประนอม
อย่างไรถังย่าก็เป็นแม่เสือ เขาไม่กล้าที่จะไปยั่วยุ
เมื่อเห็นซิวหน่ายซิงยอมแพ้ ใบหน้าของถังย่าก็ปรากฏเป็นรอยยิ้ม “ก็ใกล้เคียง ไปเถอะ ไปขับรถ กินหมอไฟนะ”
วันฝนตก หม้อไฟเป็นอะไรที่ต้องกินแน่นอนอยู่แล้ว
นี่เป็นความคุ้นชินของถังย่า ซิวหน่ายซิงจำขึ้นใจแล้ว
“ครับครับครับ”
เมื่อหูของเขาได้รับการปลดปล่อยจากถังย่า ซิวหน่ายซิงก็โล่งใจทันที
เขาเดินขนาบข้างถังย่าเดินไปทางรถยนต์ พลางคลึงหูที่เจ็บปวดไปด้วย
เมื่อถึงบนรถ
ซิวหน่ายซิงหยิบเสื้อผ้าและผ้าขนหนูออกมาจากท้ายรถ “พี่ใหญ่ เปียกหมดแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”
สุขภาพร่างกายของถังย่าแย่มาก ซิวหน่ายซิงจำขึ้นใจมาตลอด มันจะกระทบกับการปฏิบัติงาน