บทที่ 1450 เหตุการณ์ฉุกเฉิน
จ้านเซินยังอยากถามอีกหน่อย แต่ฉินซีไม่มีอารมณ์คุยต่อ
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันวางก่อนนะคะ นั่งรถทั้งวันเหนื่อยแล้ว”
ฉินซีพูดเรียบๆ เสียงบ่งบอกความเหนื่อยล้า
ที่จริง เธอเพียงแต่ไม่อยากสนทนากับจ้านเซินต่อ
และอีกอย่าง เธอเพิ่งเจอลู่เซิ่น อารมณ์ไม่ค่อยดี จึงไม่อยากพูดคุยอะไรอีก
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเธอไม่ค่อยดี จ้านเซินย่นคิ้ว “งั้นก็ได้ คุณพักผ่อนก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรโทรหาผมได้ตลอดนะ ถ้าไม่สบาย งานครั้งนี้ ก็ให้ จั่วยีกับ จั่วเอ้อทำเถอะ”
เพราะฉินซีไม่ได้ออกมาปฏิบัติภารกิจหนึ่งปีแล้ว ครั้งนี้จ้านเซินจึงมอบหมายงานเบาให้เธอ จั่วยีกับ จั่วเอ้อเองก็จัดการได้หมดเช่นกัน
ฉินซีปฏิเสธข้อเสนอของเขา “ไม่ต้องค่ะ ฉันจัดการเองได้”
เมื่อก่อน ภารกิจไม่ว่ายากแค่ไหนเธอก็แก้ไขได้อย่างสมบูรณ์แบบ นับประสาอะไรกับเรื่องเล็กๆ อย่างนี้
“คุณไม่ต้องห่วงฉัน วางใจจัดการงานของคุณไปเถอะค่ะ”
เธอไม่อยากให้จ้านเซินเข้ามายุ่มย่ามมากนัก ความห่วงใยมากเกินไปทำให้ฉินซีรู้สึกอึดอัด
จ้านเซินพูดขึ้นอย่างจนใจ “อึม ก็ได้”
เมื่อรู้ฉินซีอารมณ์ไม่ดี เขาก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมาก
เมื่อวางสายแล้ว ฉินซีเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกเซ็ง
ทิวทัศน์นอกหน้าต่างผ่านแวบไป มองดูแล้วเธอมีอิสระมาก แต่เหมือนนกน้อยในกรง แม้จะถูกปล่อยออกมาโบยบิน แต่ตัวยังมีกุญแจมือ
“คุณฉิน มือถือผม…”
เสียงทุ้มต่ำของ จั่วยีเตือนเธอ
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ดึงฉินซีกลับมาจากภวังค์
เธอยิ้มเชิงขอโทษให้ จั่วยี“ขอโทษค่ะ ฉันลืมคืนให้”
ฉินซีรีบคืนมือถือให้เขา
จั่วยีเห็นเธออารมณ์ไม่ดี อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณฉิน คุณมาทำงานครั้งนี้มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”
ตามหลักแล้ว ฉินซีเคยทำงานมามากมาย ไม่น่าจะกังวลขนาดนี้
และก่อนเดินทาง เธอก็ยังปกติดี ทำไมตอนนี้ถึงได้อยู่ๆ อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาได้
“ไม่มีค่ะ”
ฉินซีมองสายตาเป็นห่วงนั้น ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะจั่วยีคุณไม่ต้องห่วง”
เธอรู้ดี จั่วยีถามอย่างนั้น เป็นเพราะความเป็นห่วง
แต่ บางเรื่องคนที่อยู่ข้างๆ ไม่อาจร่วมแบกความทุกข์ได้ ฉินซีได้แต่ทนรับไว้คนเดียว
……
อีกด้านหนึ่ง
ในฮอลล์จัดงานเลี้ยง
ลู่เซิ่นยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองไปข้างนอก
ตั้งแต่ฉินซีไป เขาก็ยืนเหม่ออยู่ที่เดิม หน้านิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
โจวเอ้อกังวล กระซิบเรียก “ลู่เซิ่น ลู่เซิ่น…”
เขาเรียกลู่เซิ่น แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
โจวเอ้อผลักเขาเบาๆ “ลู่เซิ่น”
ตอนนี้อยู่ข้างนอก เขาไม่กล้าเรียกชื่อลู่เซิ่นดังๆ กลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน จึงทำได้แค่กระซิบเบาๆ
เสียงที่จู่ๆ ดังขึ้นทำให้ลู่เซิ่นตกใจ
เขาหันไป ก็สบตากับโจวเอ้อพอดี
ลู่เซิ่นถอยหลังนิดหนึ่ง ย่นคิ้วอารมณ์ไม่ดี “นายทำอะไร”
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความรังเกียจนิดๆ ไม่อยากจะเข้าใกล้เขา
โจวเอ้อมองเขาทำท่าถอยหลัง รู้สึกไม่ค่อยพอใจ “นายถามฉันทำอะไร ฉันสิอยากถามนายมัวทำอะไรอยู่ ยังยืนเหม่อตรงนี้อีก!”
เขารู้สึกว่าลู่เซิ่นเหมือนถูกปีศาจเข้าสิง
“นายไม่เข้าใจ”
ลู่เซิ่นพูดจาลึกลับ
โจวเอ้อไม่มีความรัก ย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกนี้
เขาไม่อยากจะอธิบายกับโจวเอ้อมากมาย สมองอย่างเขา ไม่น่าจะเข้าใจ
ขณะที่โจวเอ้อคิดจะถกเถียงกับลู่เซิ่น เสียงสั่นมือถือก็ดังขึ้น
ลู่เซิ่นก้มหน้า หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า
เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรมา สีหน้าก็เคร่งขรึม
“ฮัลโหล”
ลู่เซิ่นกดรับสาย น้ำเสียงเคร่งเครียด
เขายังไม่ทันถามเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินปลายสายน้ำเสียงกังวลของโจวซิงดังมา
ลู่เซิ่น คุณรีบกลับมาเร็ว เกิดเรื่องแล้ว”
เสียงตื่นตระหนกของโจวซิงทำให้สีหน้าของลู่เซิ่นเปลี่ยนเป็นยุ่งยากใจทันที
ลู่เซิ่นรีบเดินออกไปทางประตู “คุณอย่าเพิ่งร้อนใจ บอกผมก่อนเกิดอะไรขึ้น”
เขาส่งสายตากับโจวเอ้อ บอกใบ้ให้เขาตามมา
โจวเอ้อรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติ จึงรีบตามติดเขาไป
โจวซิงที่อยู่ปลายสายสูดหายใจลึก บังคับตัวเองให้ใจเย็น “ถังย่าไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็มาที่นี่ ตอนนี้อยู่ที่หน้าประตู บอกว่าจะเข้ามาเยี่ยมคุณ ดูว่าคุณแข็งแรงขึ้นแล้วหรือยัง”
ไม่มีใครคาดคิด ถังย่าจะโผล่มาที่นี่เวลานี้
เมื่อได้ยินถังย่ามาเยี่ยมเขา ดวงตาอันตรายของลู่เซิ่นคู่นั้นก็หรี่ลง
“คุณหาทางถ่วงเวลาไว้ก่อน ผมจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด”
ถ้าถังย่าพังประตูเข้าไป ด้วยความสามารถของ โจวซิงไม่มีทางขัดขวางเธอได้แน่นอน
โจวซิงได้แต่พยายามเต็มที่ “เมื่อกี้ผมเห็นถังย่าเดินมาทางนี้ รู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ ก็เลยบอกกับพยาบาลว่าจะตรวจให้คุณ ไม่ให้คนอื่นรบกวน ตอนนี้พยาบาลขวางไว้ไม่ให้ถังย่าเข้ามา แต่คงยื้อได้ไม่นาน อย่างมากก็ครึ่งชั่วโมงครับ”
น้ำเสียงของเขากังวล ถ้าหากถังย่าเข้ามาจริงๆ เช่นนั้นที่พวกเขาทำมาทั้งหมด ก็สูญเปล่าหมด
“คุณทำได้ดีมาก”
ลู่เซิ่นให้กำลังใจเขายืนยัน “ครึ่งชั่วโมงเพียงพอ ผมจะรีบไป”
เพื่อแผนการณ์ต่อจากนี้ เขาต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด
“โอเค เดี๋ยวผมจะหาวิธี ถ้าคุณถ่วงเวลาได้อีกหน่อยก็ยิ่งดี”
โจวซิงพยักหน้าสีหน้าเคร่งเครียด
วางสายแล้ว ลู่เซิ่นก็รีบวิ่งไปทางลานจอดรถ
โจวเอ้อตามหลังเขามาติดๆ “เกิดอะไรขึ้น”
เมื่อครู่เขาได้ยินไม่ชัด รู้แต่ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ถังย่าไปที่โรงพยาบาล บอกว่าอยากเจอฉัน”
ลู่เซิ่นเล่าให้ฟังสั้นๆ สีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินดังนั้น โจวเอ้อรู้สึกถึงอันตราย
“ว่าไงนะ”
เขานึกไม่ถึง ถังย่าจะไปหาลู่เซิ่น
โจวเอ้อเร่งฝีเท้า “งั้นพวกเรารีบไปกัน”
รถ Cayenne สีดำทะยานไปบนถนนกว้างใหญ่
หลังจากนั้นสิบกว่านาที รถก็แล่นมาถึงโรงพยาบาล
“เดี๋ยวก่อน”
เห็นโจวเอ้อรีบร้อนจะวิ่งเข้าไปข้างใน ลู่เซิ่นรีบคว้าแขนเขา “ตอนนี้ถังย่าเฝ้าอยู่หน้าประตู พวกเราเข้าประตูหน้าไม่ได้ ต้องหาวิธีเข้าทางหน้าต่าง”
แม้ตอนนี้พวกเขายังสวมหน้ากากหนังคน ถ้าผลีผลามเข้าไป ก็ยังดูน่าสงสัยอยู่ดี
พวกเขาไม่ใช่หมอ อยู่ๆ จะเข้าไปในห้องคนไข้ทำไม ถึงตอนนั้นพวกเขาจะอธิบายยังไง
“ก็จริง”
โจวเอ้อพยักหน้า
ทั้งสองคนเดินอ้อมไปทางสวนดอกไม้ด้านหลัง หาโอกาสแอบเข้าไปทางหน้าต่าง
“ฉันจะเข้าไปก่อน ตอนนี้นายไปถอดหน้ากากแล้วเข้าประตูหน้าไปถ่วงเวลาก่อนละกัน”
ลู่เซิ่นกลัวว่า โจวซิงคนเดียวจะเอาไม่อยู่ จึงรีบวางแผน