ไม่นาน ยาเสริมกำลังที่มีอยู่เต็ม ก็มองเห็นก้นขวด
“เหยาจ้าว ดูท่านายจะยังมีประโยชน์อยู่บ้าง”
นึกถึงปัญหาของที่เสริมกำลังที่แก้ไขได้แล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องดื่มยาน้ำที่ขมอีกแล้ว อารมณ์ของฉินซีก็มีความสุขขึ้นมา
ฉินซีลุกขึ้นจากพื้น ปัดฝุ่นที่ก้นออก
“ไปเถอะ เราไปกินข้าวที่ร้านอาหารกัน”
ตอนนี้ฉินซีแทบรอไม่ไหวที่จะกินผลไม้ แก้ไขความตะกละในท้องเสียหน่อย
“รอก่อน”
ในตอนที่เท้าของฉินซียังไม่ทันก้าวก้าวแรกออกมา จ้านเซินก็เอ่ยปากขึ้นกะทันหัน
ฉินซีชะงักเล็กน้อย เท้าค้างอยู่กลางอากาศ หรี่ตาลงด้วยความสงสัย “จ้านเซิน นายมีอะไรหรอ?”
เธอไม่เข้าใจ ทำไมจู่ๆ จ้านเซินก็เคร่งขรึมขึ้นมา เหมือนกับมีเรื่องอะไรซักอย่าง
จ้านเซินยืนอยู่ตรงข้ามเธอ เอ่ยปากเสียงต่ำ “ฉินซี เธออยากรับภารกิจไหม?”
เขาเอ่ยถามโดยตรง
หลังจากฉินซีได้ยินคำถามนี้แล้ว ตาก็สว่างขึ้นทันที
“อยากสิ ฉันอยากมาตั้งนานแล้ว”
ฉินซีพยักหน้า เอ่ยปากอย่างน้อยใจเล็กน้อย
แม้ว่าเธออยาก แต่จ้านเซินไม่ให้เธอทำมาตลอด บอกว่าสมรรถภาพร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นฟูจนถึงมาตรฐานที่สามารถออกไปทำภารกิจได้ ยังต้องฝึกฝนต่อไป
อันที่จริง ฉินซีรู้สึกว่าจ้านเซินกังวลว่าเธอจะหนีออกไป แล้วไม่กลับมาอีก จึงเอาแต่รั้งเธอไว้ ไม่ยอมให้เธอไป
ฉินซีเข้าใจจิตใจของจ้านเซิน แม้ว่าเธอจะอยากออกไปมาก ไปหาลู่เซิ่น
แต่ว่า เพื่อให้จ้านเซินเชื่อใจเธออย่างลึกซึ้ง ฉินซีได้เพียงอดกลั้นความคิดถึงของตนไว้
ตามปกติ เธอกับลู่เซิ่นติดต่อกับผ่านเหยาจ้าว
แม้จะไม่ได้พบเจอ แต่ก็สามารถบรรเทาความรักใคร่ได้บ้างไม่มากก็น้อย
ฉินซีเตรียมตัว รอเธอสามารถออกไปได้จริงๆแล้ว ค่อยหนีไปหาลู่เซิ่น
ถึงตอนนั้นจ้านเซินก็ไม่อยู่ข้างกายเธอ เธอก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว
ฉินซีมองตาแป๋วไปที่จ้านเซิน สายตาเผยแววปรารถนา
จ้านเซินเม้มริมฝีปาก มีเรื่องมากมายอยู่ในใจ สุดท้ายก็ถอนหายใจเงียบๆ “ตอนนี้เธอสามารถออกไปทำภารกิจได้แล้ว”
เขาเอ่ยปากเบๆ น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่มันทำให้เกิดความโกลาหลในใจของฉินซี
เธอคิดไม่ถึงว่า จ้านเซินจะปล่อยให้เธอออกไปทำภารกิจเร็วขนาดนี้
ฉินซีคิดมาตลอดว่า ด้วยนิสัยขี้ระแวงอย่างมากของจ้านเซินแล้ว จะต้องเฝ้าสังเกตเป็นเวลาหลายเดือนแน่
เธอเตรียมพร้อมที่จะสู้กับศึกระยะยาวแล้ว คิดไม่ถึงว่าความน่าประหลาดใจจะเกิดขึ้นกะทันหัน
“จริงหรอ?”
บนใบหน้าขาวนวลของฉินซีเผยความเหลือเชื่อ
เธอมองตรงไปที่จ้านเซิน รอคำตอบของเขา
จ้านเซินจ้องมองดวงตาที่ส่องประกายราวกับดวงดาวของเธอ พยักหน้า “จริงสิ”
ทันทีที่เขาพูด ฉินซีก็กระโดดอย่างมีความสุข
“เจ๋งไปเลย!”
ฉินซีกระโดดอยู่กับที่ ใบหน้าที่บอบบางเผยรอยยิ้มที่สดใส
เธอดีใจมากจริงๆ
จ้านเซินมองท่าทางชอบใจของเธอ ก็ขมวดคิ้ว “แต่ว่า ก่อนที่จะออกไป เธอจะต้องยอมรับเงื่อนไขฉันสองสามข้อ ถ้าหากเธอไม่รับปาก หรือรับปากแล้วทำไม่ได้ หลังจากนี้ฉันจะไม่ให้เธอเหยียบออกไปนอกองค์กรแม้แต่ก้าวเดียว”
เขาพูดด้วยใบหน้าจริงจัง เหมือนเทน้ำเย็นลงบนหัวของฉินซีโดยตรง
ฉินซีรู้สึกว่าร่างกายเปียกโชกทันที หัวใจทั้งดวงรู้สึกเย็นเยือก
“เงื่อนไขอะไร”
ฉินซีเม้มริมฝีปากแน่น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปในทันที
อากาศเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกขึ้นมา
เหยาจ้าวยืนอยู่ด้านข้าง มองดูท่าทีที่เย็นชาของทั้งสอง ก็ตัวสั่นเล็กน้อย
สองคนที่จะไม่ปล่อยให้คนมีชีวิตอยู่เลยหรอ ทั้งคู่ดูไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็ง
เรื่องแบบนี้ เขาไม่อยากเข้าไปร่วมด้วยเลย
เหยาจ้าวแอบอยู่ฝั่งหนึ่งอย่างเชื่อฟัง รอทั้งสองคุยกันเสร็จ ก็จะได้ไปกินข้าวแล้ว
เขารู้สึกว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ฉินซีจะอดทนยอมรับข้อเสนอที่ไม่เป็นธรรมของจ้านเซิน ถึงอย่างไรตอนนี้ฉินซีก็อยากทำให้จ้านเซินพอใจ ให้การระแวดระวังของจ้านเซินลดลง
จ้านเซินไม่ได้ปล่อยประเด็นให้คั่งค้าง เขาเปิดริมฝีปากออก “ข้อแรก เธอออกไปข้างนอกได้ แต่จำเป็นต้องมีผู้คุ้มกันอยู่ข้างกาย แม้ว่าตอนนี้ร่างกายเธอจะฟื้นฟูจนเกือบหายดีแล้ว แต่ก็เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ทำภารกิจ มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กๆมากมาย ที่เธอยังไม่เข้าใจ ให้พวกเขาไปกับเธอ เธอจะได้ปรับตัวด้วย ยังไงก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยของเธอ”
ปากของเขาบอกว่าเพื่อปกป้องฉินซี อันที่จริงแล้วก็เพื่อเฝ้าสังเกตเธอ ป้องกันไม่ให้ครั้งนี้เธอออกไปแล้ว ก็จะไม่กลับมาอีก
เรื่องนี้ ฉินซีเข้าใจดียิ่งกว่าใคร
ในปีนั้นที่เธอออกไปทำภารกิจครั้งแรก พึ่งอายุไม่กี่สิบขวบ ยังไม่เห็นบอดี้การ์ดซักคนมาป้องกันความปลอดภัยให้เธอ
เธอยกมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน เธอว่าแล้ว จ้านเซินจะไปปล่อยให้ตนออกไปง่ายๆได้ยังไง ที่แท้ก็รอเธออยู่ตรงนี้
ฉินซีปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เธอรู้ว่าเรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ ต้องได้รับความไว้วางใจจากจ้านเซินไปทีละขั้น แล้วค่อยเป็นค่อยไป
“ฉันรับปากนาย ยังมีอีกไหม?”
ฉินซีพยักหน้า แม้ว่าในใจจะไม่มีความสุข แต่การแสดงออกบนใบหน้ากลับสงบนิ่ง
เธอรู้ว่าในเมื่อจ้านเซินพูดว่าข้อแรก งั้นถัดไปจะต้องมีเงื่อนไขอื่นรอตนอยู่อีกแน่
เพียงแต่ไม่รู้ว่า จะเรียกร้องมากขึ้นหรือเปล่า
ฉินซีแอบเตรียมพร้อมอยู่ในใจ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกเดี๋ยวสีหน้าของตนจะกลายเป็นดูไม่ได้ ทำให้จ้านเซินสังเกตเห็นความผิดปกติ แล้วเปลี่ยนใจ กีดกันแม้แต่โอกาสที่เธอจะได้ออกไปข้างนอก
ถ้าเป็นแบบนั้น กระทั่งสถานที่ให้ร้องไห้เธอก็ไม่มี
“ข้อที่สอง ฉันจะติดกล้องวงจรปิดไว้บนตัวเธอ เธอพกติดตัวไปด้วย เพื่อที่ฉันจะได้ตรวจสอบที่อยู่ของเธอได้ตลอดเวลา ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอ จะได้จัดแจงให้คนไปช่วยเหลือ”
จ้านเซินเอ่ยปากพูดต่อ ทุกคำพูดต่างคิดเพื่อความปลอดภัยของฉินซี แต่ที่จริงแล้วเพื่ออะไร คนที่อยู่ตรงนั้นล้วนรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าแหย่
ฉินซีสูดหายใจลึก กลอกตาในใจ
“โอเค มีอีกไหม?”
เธออยากให้จ้านเซินพูดให้จบในครั้งเดียวจริงๆ แต่ล่ะอันมันช่างเกินจะรับได้จริงๆ
เหตุผลที่จ้านเซินจะติดกล้องแล้วยังต้องบอกเธอ เป็นเพราะฉินซีรู้จักสิ่งของพวกนี้ดี ถ้าเขาแอบลงมือเอง ก็อาจทำให้ฉินซีมีใจขัดขืน ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะบอกกับเธอโดยตรง
ถ้าฉินซีทำไม่ได้ งั้นเธอก็จะไม่มีโอกาสได้ออกไป
หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียดูแล้ว เป็นธรรมดาที่ฉินซีจะเลือกรับปาก
“ข้อที่สาม และเป็นข้อสุดท้าย ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือไม่ เธอจะต้องกลับถึงองค์กรให้ตรงเวลา ตามเวลาที่กำหนด ถ้ากลับช้า ก็จะยกเลิกโอกาสที่เธอจะได้ออกไปทำภารกิจในครั้งต่อไป”
จ้านเซินบอกเงื่อนไขทั้งสามข้อกับฉินซี อย่างครบถ้วนและชัดเจน
หลังฉินซีฟังจบ ก็รู้ว่าใจที่ป้องกันตนของจ้านเซิน ที่แท้มันหยั่งลึกแค่ไหน