บทที่ 1412 ความหลงใหล
ใช่แล้ว เธอไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่ในองค์กร
เธอยังมีเหยาจ้าว แค่ติดต่อเหยาจ้าว และให้เขาช่วยออกไปสืบข่าวของลู่เซิ่นให้สักหน่อย
แต่ จะทำยังไงให้เหยาจ้าวมาที่นี่ด้วยตัวเองและคนอื่นไม่ผิดสังเกตล่ะ
ฉินซีขมวดคิ้วแน่น พยายามใช้คิดหาวิธีการ
“ใช่แล้ว!”
สมองของฉินซีคิดออกขึ้นมาทันที
เธอล้มบนพื้นอย่างเจ็บปวด ใบหน้าขาวซีด : “เจ็บ เจ็บมาก”
ฉินซีกลิ้งอยู่บนพื้นพลางร้องเจ็บปวดครวญคราง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงรีบถามอย่างรวดเร็ว : “คุณฉิน คุณเป็นอะไรไป?”
ตอนนี้ฉินซีเป็นบุคคลที่สำคัญภายในองค์กรต้องปกป้อง ถ้าเธอเกิดข้อผิดอะไรขึ้น ยากจะสู้หน้ากับจ้านเซิน
“โอ๊ย! ปวดมาก!”
ฉินซีไม่ตอบคำถาม บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลหยด
เสียงบาดใจของเธอ ทำให้คนเฝ้าประตูตกในจนรีบเปิดประตูเข้ามา
เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นฉินซีปวดจนล้มอยู่บนพื้น ริมฝีปากและใบหน้าซีดขาว ในใจก็สับสนไม่สงบ
หนึ่งในคนเฝ้าประตูผลักเพื่อนร่วมงานอีกคน : “ฉันจะเฝ้าคุณฉินอยู่ที่นี่ นายรีบไปเรียกหมอเหยามาดูหน่อย และรายงานเรื่องสถานการณ์คุณฉินซีให้พี่ใหญ่ทราบด้วย”
เขาพูดอย่างร้อนใจ หลังเพื่อนร่วมงานอีกคนได้รับคำสั่งจึงวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย…”
ฉินซีร้องคร่ำครวญความเจ็บปวดออกมา เหมือนเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
เหงื่อแตกเต็มหน้าผาก คนเฝ้าประตูไม่รู้ว่าเธอปวดตรงไหนกันแน่ และก็ไม่กล้าลงมือ
เขามองฉินซีปวดจนสลบไปกับตา ในใจหวั่นไหว
คนเฝ้าประตูไม่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของฉินซี
ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อกี้เธอแค่แสดงละครเท่านั้นเอง เพื่อหลอกให้เหยาจ้าวมาที่นี่
……
ขณะเดียวกัน
เหยาจ้าวกำลังคุยกับจ้านเซิน
จ้านเซินมองท่าทางก้มหน้าก้มตาของเขา และพูดอย่างเย็นชา : “หมอเหยา เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมฉินซีถึงหนีออกมาจากภาพความฝันได้ และยังทำร้ายคุณกับถังย่าจนสลบได้”
เขาเชื่อใจเหยาจ้าวมาโดยตลอด
แต่ คำพูดของถังย่าวันนั้น กลับทิ้งเงาไว้ในใจลึกๆ ของจ้านเซิน
ตอนนี้เขาสงสัยว่า เหยาจ้าวเป็นพวกเดียวกันกับฉินซีไหม
ดังนั้น เหยาจ้าวรู้ว่าคืนนั้นลู่เซิ่นจะบุกเข้ามาช่วยฉินซีออกไป จึงจงใจสร้างภาพทำให้เหมือนกับสะกดจิตไว้แล้ว แต่ความจริงแล้วก็แค่เพื่อใช้หลอกเขาและถังย่า
เผชิญหน้ากับความสงสัยของจ้านเซิน ในใจของเหยาจ้าว “ตึกตึก!” ไปสักครู่
เขารู้ว่าตัวเองหนีไม่รอด แต่เมื่อคืนเขาไม่ได้ช่วยฉินซีจริงๆ
เมื่อตอนบ่ายเหยาจ้าวแอบได้ยินบทสนทนาของจ้านเซินและถังย่ามาแล้ว
เขารู้ชัดเจนว่าถังย่ากับจ้านเซินกำลังสงสัยตัวเอง จะไปกล้าทำผิดกฎภายใต้สายตาของพวกเขาได้ยังไงกัน
เหยาจ้าวสูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับความกังวลในใจและเอ่ยปากพูดด้วยเสียงสงบนิ่ง : “พี่ใหญ่ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันสาบานได้”
เขายกมือ ดวงตามุ่งมั่นมองไปที่จ้านเซิน
“จริงที่เมื่อวานฉินซีทำลายภาพความฝันออกมา พูดในแง่ทางการแพทย์แล้ว เพราะฉินซีหลงใหลในโลกภายนอกอย่างลึกซึ้ง เธอรู้ว่าลู่เซิ่นจะปรากฏตัวคืนนี้ ดังนั้นสติสัมปชัญญะอัดแน่น คุณก็รู้ว่าตัวฉินซีเองเป็นอาวุธที่ที่ดีที่สุดในองค์กร ผ่านการฝึกด้านจิตวิทยามานับไม่ถ้วน”
เหยาจ้าวพูดการคาดการณ์ของตัวเองออกมาทีละประโยคอย่างช้าๆ : “ด้านจิตวิทยาของฉินซี มีความมุ่งมั่นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก เมื่อคืนเธอตั้งใจเตือนตัวเองไม่ให้โดนสะกดจิต ถึงแม้ตอนต้นจะสะกดจิตได้ความสำเร็จ แต่ตามความสามารถของเธอแล้ว ควบคุมเธอได้แค่สิบกว่านาทีเท่านั้น เธอก็สามารถทำลายออกมาได้”
เขาวิเคราะห์สถานการณ์ของฉินซีทีละนิด หลังจากจ้านเซินฟังจบก็เงียบไป
สมองของจ้านเซินคิดทบทวนสิ่งที่เหยาจ้าวพูดเมื่อกี้ไปมาไม่หยุด
“เธอหลงใหลลู่เซิ่นมากเกินไป จนสามารถทำลายข้อผูกมัดได้”
จ้านเซินคิดภาพไม่ออก ต้องเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน ที่ทำให้ฉินซีทำได้ถึงขนาดนี้
ฉินซีน่าจะรู้ การออกจากการสะกดจิตกะทันหันแบบนี้ ถ้าทำได้ไม่ดี อาจจะทำให้สมองได้รับความเสียหายหรือถึงชีวิตได้ หรือไม่เธออาจจะเพี้ยนได้
ฉินซีได้รับการฝึกฝนมากมายในองค์กร
ความรู้ด้านนี้ จ้านเซินไม่เชื่อว่าฉินซีจะไม่รู้
เรียกได้ว่า ฉินซีรู้ถึงผลที่อาจจะตามมาในภายหลัง แต่เธอก็ทำอย่างไม่ลังเล
สำหรับเธอแล้ว ลู่เซิ่นสำคัญกว่าชีวิตอีกหรือไง?
“ปัง!”
จ้านเซินยิ่งคิดยิ่งโกรธ เขากระแทกหมัดลงบนโต๊ะ ทำให้เกิดเสียงดัง
หมัดนี้ จ้านเซินใช้แรงเต็มกำลัง
ผิวโต๊ะแตกเป็นหลุมใหญ่ และหมัดของจ้านเซินก็จมลงไปในเศษไม้ เลือดสีแดงสดไหลหยดตามนิ้วมือของเขา เปื้อนกระดาษสีขาวด้านข้าง
แต่จ้านเซินกลับทำเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร เขาเม้มปากแน่น บรรยากาศความรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วตัว
เหยาจ้าวเห็นภาพนี้ หรี่ตาเล็กลง
เขารีบเดินไปข้างหน้า : “พี่ใหญ่ มือของคุณ”
เหยาจ้าวรีบยกกล่องยาด้านข้างขึ้นมา อยากจะทำแผลให้จ้านเซิน
แต่จ้านเซินกลับโบกมือไล่เขาอย่างรำคาญ : “ออกไป!”
ขณะที่จ้านเซินกำลังจะออกมา ประตูห้องทำงานเหยาจ้าวก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอกอย่างกะทันหัน
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นคนเฝ้าประตูเห็นเหยาจ้าว ใบหน้าปรากฏความรีบร้อน : “หมอเหยา คุณรีบไปดูคุณฉินหน่อยเถอะ เธอปวดหัวขึ้นมากะทันหันจนเป็นลมไปแล้ว”
คนเฝ้าประตูยังเดินมาไม่ถึงด้านหน้า ก็รีบรายงานตั้งแต่ยังยืนอยู่หน้าประตู
ได้ยินข่าวนี้ หมอเหยาและจ้านเซินตกใจไปพร้อมๆ กัน
เดิมทีคนเฝ้าประตูอยากจะไปรายงานจ้านเซิน คิดไม่ถึงว่าพวกจะอยู่ด้วยกันพอดี ถือว่าได้บอกไปพร้อมๆ กัน
“อะไร!”
จ้านเซินลุกขึ้นทันทีทันใด
“รีบพาฉันไปดู”
เขาก้าวขายาวออกไปจากประตู
เหยาจ้าวถือกล่องยารีบตามไป
ทั้งสองคนเร่งรีบมาถึงห้องกักขัง ตอนนั้นฉินซีปวดจนสลบไปแล้ว
คนเฝ้าประตูที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นจ้านเซินกับเหยาจ้าวมาแล้วรีบลุกขึ้นหลีกทางให้ : “พี่ใหญ่ หมอเหยา คุณฉินร้องเจ็บอยู่ตลอดเวลา คุณรีบเข้าไปดูเธอเถอะว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นไหม”
“อืม”
เหยาจ้าวพยักหน้า และเอากล่องยาวางไว้บนพื้น
เขาทำให้ฉินซีนอนราบอยู่บนเตียงในห้องกักขังตัว
เหยาจ้าวเปิดหนังตาฉินซีดู ตรวจดูเธออย่างง่ายๆ สีหน้าดูลำบากยิ่งขึ้น
จ้านเซินยืนอึดอัดอยู่ด้านข้าง จิตใจสับสนไปกับท่าทางของเขา
เหยาจ้าวหันมองจ้านเซิน : “พี่ใหญ่ สถานการณ์ของฉินซีตอนนี้ย่ำแย่มาก อุปกรณ์ที่นี่ธรรมดาเกินไป ฉันต้องย้ายเธอไปที่ห้องทดลอง เพื่อตรวจให้ละเอียดกว่านี้”
เขาพูดอย่างรีบร้อนและขอความคิดเห็นจากจ้านเซิน
จ้านเซินเห็นสีหน้าซีดขาวของฉินซี ไม่พูดอะไร แต่รีบอุ้มเธอขึ้นมาและเดินไปทางห้องทดลอง
จนกระทั่งถึงตอนนี้ สำหรับจ้านเซินแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาชีวิตของฉินซี