บทที่ 1404 ล้อมไว้อย่างแน่นหนา
“พวกคุณก็รู้ จ้านเซินฟังฉันมากที่สุด คุณเชื่อไหมฉันจะให้เขาไล่พวกคุณออกให้หมด!”
จนถึงตอนนี้ ฉินซีทำได้แค่ใช้จ้านเซินมาข่มขู่
หลังจากหัวหน้าบอดี้การ์ดฟังคำพูดของเธอ ก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา : “คุณฉิน คุณว่าคุณทรยศไปแล้ว พี่ใหญ่ยังจะฟังคุณอีกไหม? และภารกิจที่ให้จับคุณขังไว้ เดิมทีพี่ใหญ่ออกคำสั่งด้วยตัวเอง”
มือที่กดไหล่ฉินซีใช้แรงเพิ่มมากขึ้นอีก
น้ำหนักมือแรงจนฉินซีรู้สึกว่ากระดูกบริเวณนั้นของตัวเองกำลังจะหักแล้ว
หัวหน้าบอดี้การ์ดยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาและพูดกับหัวหน้าที่เคารพว่า : “พี่ใหญ่ จับคุณฉินได้สำเร็จ ให้พาไปที่คุณตอนนี้เลยไหม?”
เขาส่งสายตาสั่งให้ลูกน้องดูแลฉินซีไว้ให้ดี อย่าให้เธอหนีไปได้เด็ดขาด
ถ้าเป็นคนอื่น ไม่ต้องตื่นเต้นวุ่นวายขนาดนี้
แต่กับฉินซีไม่เหมือนกัน ความน่ากลัวของเธอไม้สามารถจินตนาการได้
เดิมทีจ้านเซินยังแบ่งใจมากังวลใจเหตุการณ์ทางฝั่งของฉินซี แต่หลังจากได้ยินว่าจับฉินซีได้สำเร็จแล้ว ในใจของจ้านเซินรู้โล่งขึ้นมาหน่อย
“พามาเถอะ”
จ้านเซินคิดแล้วคิดอีก ถ้าปล่อยฉินซีไว้ตรงนั้นไม่ปลอดภัย
เธอฉลาด และในสมองมีความคิดแปลกๆ มากมาย
ถึงแม้ครั้งนี้จะใช้วิธีแบบคลื่นมนุษย์ล้อมจับฉินซีไว้ได้ แต่ใครจะรู้ระหว่างขั้นตอนการเฝ้าดูจะเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น
จ้านเซินไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เขาต้องเห็นกับตาถึงจะสบายใจ
“ได้”
หัวหน้าบอดี้การ์ดพยักหน้า ออกคำสั่งให้ลูกน้องคุมตัวฉินซีเดินไป
ตัวฉินซีเองต่อต้านไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะสลัดให้หลุด ทำได้แค่ปล่อยให้เขาดันตัวเองไปด้านหน้า
ในตอนนี้เอง
เสียงของจ้านเซินดังมาทางวิทยุสื่อสารอีกครั้ง : “ใช่แล้ว ไปหาดูถังย่ากับเหยาจ้าว ไปดูว่าพวกเขายังอยู่ในห้องกายภาพบำบัดไหม”
จ้านเซินอยากจะรู้ว่าความจริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ที่ทำให้ถังย่าไม่ส่งข่าวอะไรเลย
เมื่อกี้เขาลองเรียกไปที่วิทยุสื่อสารของถังย่าดูแล้ว แต่ฝั่งนั้นกลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย
หัวหน้าบอดี้การ์ดตอบกลับ : “ได้ พี่ใหญ่”
เขารีบจัดการส่งสองคนไปดูที่ห้องกายภาพบำบัด ตามหาถังย่าและเหยาจ้าว
……
ในขณะเดียวกัน
ลู่เซิ่นได้เดินตามอุโมงค์ที่ขุดไว้เข้ามาในโรงพยาบาลได้แล้ว
ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี ภายในโรงพยาบาลเงียบสนิท
ลู่เซิ่นเดินอย่างระมัดระวัง กลัวว่าถ้าเกิดเสียงดังขึ้นมา จะได้ยินไปถึงพวกสายตาของจ้านเซิน
เขาระมัดระวังมาตลอดทาง แต่กลับไม่เจอใครเลย
นี้ทำให้ลู่เซิ่นรู้สึกแปลก ในใจรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
แต่ ห้องพักผู้ป่วยของฉินซีอยู่ตรงหน้าแล้ว
ถ้าลู่เซิ่นต้องถอยไปอย่างนี้ เขาไม่สบายใจ
ไม่ว่ายังไง เขาต้องเห็นฉินซีก่อนถึงจะไป
และแล้ว ลู่เซิ่นก็ยังเดินเข้ามาในกับดักของศัตรูต่อไปอีก
เขาเริ่มสังเกตเห็นบอดี้การ์ดที่ดูไม่เข้าท่าเข้าทางหลายคน แต่บอดี้การ์ดกลับไม่เห็นเขา
ลู่เซิ่นเงยหน้ามองห้องที่อยู่ชั้นสองทางด้านทิศตะวันออก
ก็คือที่นี่!
แค่เขาปีนขึ้นไปตามท่อนี้ ด้านบนก็เป็นห้องของฉินซีแล้ว
ในตาของลู่เซิ่นเปล่งประกายความรุนแรง เขามองไปรอบๆ เพื่อสำรวจให้มั่นใจว่าไม่มีใครเห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้ จากนั้นจึงเริ่มลงมือปีนขึ้นไป
เขาไม่รู้ ว่าจ้านเซินรออยู่ด้านในหลายชั่วโมงแล้ว
ภายในห้องเงียบสนิท
จ้านเซินนั่งซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่ง ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กดังมาจากนอกหน้าต่าง
แววตาดำสนิทของเขาเปล่งประกาย : “มาแล้ว!”
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวจ้านเซินทันที มือที่อยู่ข้างตัวกำหมัดแน่น
เขากลั้นหายใจ รอให้ลู่เซิ่นผลักหน้าต่างกระโดดเข้ามา
แต่ทว่า ลู่เซิ่นกลับไม่เข้ามาในทันที
เขากระโดดเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ลองสังเกตดูสถานการณ์ในห้องก่อน
ในห้องไม่ได้เปิดไฟ ฉินซีน่าจะเข้านอนแล้ว
แต่ลู่เซิ่นกลับรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
โจวซิงน่าจะบอกแผนการให้กับฉินซีแล้ว ฉินซีรู้ว่าคืนนี้เขาจะมา ไม่น่าจะหลับได้สบายใจขนาดนั้น หรือเรื่องนี้จะมีเกลือเป็นหนอน
ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในโรงพยาบาล ลู่เซิ่นก็ติดต่อโจวซิงไม่ได้เลย
ลางสังหรณ์ไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาของลู่เซิ่นเต็มไปด้วยความระมัดระวังป้องกัน
เขาอยู่ด้านนอกสักครู่ จ้านเซินขมวดคิ้วรออยู่เงียบๆ ตลอดเวลา และยังสั่งให้ลูกน้องเงียบไว้ห้ามเคลื่อนไหว อย่าทำให้ลู่เซิ่นรู้ตัว
ในใจของลู่เซิ่นสับสนหลายร้อยครั้ง เขาตัดสินใจลองเข้าไปดู
ถ้าเกิดพบอะไรผิดปกติ จะรีบหลบหนีโดยเส้นทางเดิมทันที
ลู่เซิ่นผลักหน้าต่างออก กระโดดเข้าไปเงียบๆ เหมือนแมว โดยไม่ส่งเสียงอะไรเลย
แต่เขาโดนจ้านเซินที่รอมานานหลายชั่วโมงเจอเข้าจนได้
ลู่เซิ่นเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาสังเกตได้ว่าในห้องไม่มีแค่ลมหายใจของคนเพียงคนเดียว
เขาตัดสินใจหันกลับ ต้องการจะหลบหนี
จ้านเซินกลับเปิดไฟขึ้นมาทันที : “อย่าขยับ!”
สายตาแหลมคมของเขามองมาที่ลู่เซิ่น ปืนในมือจ่อตรงมาที่เขา
ท่าทางรำคาญปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เซิ่น แสงมืดมนเปล่งประกายในแววตา
เขาหันหลังให้จ้านเซิน จ้านเซินมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
จ้านเซินเงยหน้าขึ้น และพูดอย่างเย็นชาว่า : “ทิ้งอาวุธในมือ และหันกลับมา”
เขาตะโกนอย่างรุนแรง บรรยากาศความดุเดือดปะทุออกมาทั้งตัว
ลู่เซิ่นสังเกตได้ว่าในห้องไม่ได้มีแค่จ้านเซินคนเดียว เขาโยนปืนในมือลงบนพื้น
จากนั้นเอาปืนที่ติดอยู่กับตัวอีกกระบอกหนึ่งโยนลงบนพื้นอีกครั้งตามคำสั่งของจ้านเซิน
“หึหึ…ฉันโยนไปหมดแล้ว”
ลู่เซิ่นขยับตัวช้าๆ และช่วงเวลาที่ขยับตัวนั้นเอง ก็กระโดดเข้าใส่จ้านเซินอย่างโหดเหี้ยม
ขาข้างหนึ่งของเขาเหยียบจ้านเซินไว้ และไม่คิดจะหลบหนี
ลู่เซิ่นมีสติดี เขารู้จ้านเซินวางกับดักไว้มากมาย ในห้องมีคนอยู่เยอะ เขาสู้ไม่ไหว
“พี่ใหญ่!”
บอดี้การ์ดเห็นจ้านเซินถูกทำร้าย ก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที
จ้านเซินเองก็คิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่นจะลงมือในช่วงเวลาอย่างนี้ เขาป้องกันและหลีกเลี่ยงการโจมตีของลู่เซิ่น
ตอนที่เขาคิดจะจับมือกับลู่เซิ่น ลองดูว่าเขาร้ายกาจขนาดไหนนั้น ลู่เซิ่นกลับเก็บมือกลับไปและหมุนตัวหลบ
“จะไปไหน!”
จ้านเซินตะโกนเสียงดังและวิ่งตามไป
ตอนนั้นเอง หัวหน้าบอดี้การ์ดก็พาฉินซีเดินมาถึง
ฉินซีเห็นนาทีที่ลู่เซิ่นกระโดดหนีไปจากห้องคนไข้ หัวใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมา
“ลู่เซิ่น!”
ฉินซีร้องเรียกเสียงดัง
เมื่อคนที่คิดถึงมาวันทั้งคืน ปรากฏอยู่ตรงหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว จมูกของฉินซีเริ่มชื้น เบ้าตาแดงอย่างอดไม่ได้
ลู่เซิ่นรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของของเธอ : “ฉินซี”
ตอนที่เขาเห็นฉินซีโดนบอดี้การ์ดกดไว้และบนข้อมือยังไม่กุญแจมือล็อกไว้ ความโกรธแค้นในใจกลับเพิ่มขึ้นอีก
ในเมื่อจ้านเซินปฏิบัติต่อที่รักของเขาอย่างนี้
ลู่เซิ่นกำหมัดแน่น มีความคิดอยากที่จะหันกลับไปใช้ความรุนแรงจัดการจ้านเซิน
คิดถึงความทรมานที่ฉินซีได้รับเหมือนไม่ใช่คน ลู่เซิ่นอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
เขามองไปที่ฉินซีอย่างโกรธแค้น อยากจะพาเธอออกไปด้วยกัน
ฉินซีมองท่าทางเขาอย่างหวาดกลัว และรีบส่ายหน้า : “ลู่เซิ่น คุณไม่ต้องสนใจฉัน รีบไป!”