เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลู่เซิ่นขบปากด้วยความหงุดหงิดและขมวดคิ้วขึ้น : “ไม่มี”
หัวใจของเขาราวกับถูกก้อนหินมหึมาทับไว้ อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
ถ้าหากหาวิธีได้แล้ว ลู่เซิ่นก็คงไม่มานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนี้
ความหวังที่อยู่ในใจของโจวซิงได้พังทลาย เขาขมวดคิ้วแน่น : “แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี หรือจะอยู่เฉยๆดูจ้านเซินทำการทดลองฉินซีอย่างนั้นหรือ”
ตามนิสัยของจ้านเซิน ถ้าเขารู้ว่าฉินซีได้ทรยศเขาตั้งแต่แรก แล้วไปอยู่กับชายอื่น เขาจะต้องโกรธมากจนต้องพาฉินซีกลับไปที่องค์กรอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น ลู่เซิ่นอยากจะพาฉินซีออกมาจากองค์กรกำแพงเหล็กนั่น ก็จะเป็นเรื่องที่ยากแล้ว
แต่พวกเขาต่างไม่รู้เลยว่าเรื่องระหว่างฉินซีกับลู่เซิ่น ความจริงจ้านเซินรู้ตั้งนานแล้ว
ในแต่ละวันเขาต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานและอดทนอดกลั้น
ตอนนี้เขาอดทนต่อไม่ไหวแล้ว
สิ่งที่โจวซิงเป็นห่วง ก็คือความกังวลของลู่เซิ่น
โจวเอ้อที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ เขาเห็นสีหน้าอมทุกข์ของลู่เซิ่น จึงรู้สึกเจ็บปวดในใจ : “ลู่เซิ่น คุณต้องเชื่อมั่นฉินซี เธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ผมคิดว่า ถ้าในเมื่อเธอกล้าให้เหยาจ้าวทำการทดลองเธอ อย่างนั้นเธอต้องมีวิธีอย่างแน่นอน”
คนรอบข้างอย่างโจวเอ้อถือว่าเป็นหนึ่งในสามคนนี้ที่มีความคิดสุขุมที่สุด
เมื่อประโยคนี้เปล่งออกมา ลู่เซิ่นกับคู่สายโทรศัพท์อย่างโจวซิงต่างชะงักขึ้น
ใช่!
ฉินซีเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นแผนการส่วนหนึ่งของฉินซี
โจวซิงก็นึกถึงภาพตอนที่เขาพยายามห้ามฉินซีนั้น ฉินซีมักจะขยิบตาให้ เหมือนต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา
แต่ด้วยลู่เซิ่นที่อยู่ตรงนั้น จึงไม่สะดวกที่จะพูดออกมา
คำพูดของโจวเอ้อทำให้สติของพวกเขากลับคืนมาอีกครั้ง
โจวซิงพยักหน้าเห็นด้วยและอ้าปากพูดขึ้น : “ โจวเอ้อพูดถูก เมื่อสักครู่ผมอารมณ์ร้อนไปหน่อย ท่าทางของฉินซีเมื่อสักครู่ ก็ช่างน่าแปลกจริงๆ ผมเดิมทีคิดว่าเธอถูกบังคับจนไม่มีทางเลือก ถึงได้รับปากจ้านเซินทำการตรวจลองใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น”
เขาคิดอย่างละเอียดรอบคอบ แล้วนำความคิดเห็นของตัวเองบอกกับลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นที่เดิมทีกำลังกลัดกลุ้ม เมื่อได้ยินสองคนนั้นพูดแบบนี้ ถึงแม้จะทำให้ผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ไม่อาจทำให้เบาใจลงได้ทั้งหมด
“ไม่ได้ ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่อาจจะรอเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ทำอะไรไม่ได้”
ลู่เซิ่นแววตาดุดัน ความคิดที่อยู่ในใจค่อยๆก่อตัวขึ้น
โจวซิงขมวดคิ้วขึ้น : “คุณคิดจะทำอะไร”
ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่กับจ้านเซินไม่นาน แต่เขาก็ไม่ถูกชะตากับจ้านเซินตั้งแต่แรก
วันๆเอาแต่ลอยหน้าลอยตา ทะนงตัว ไม่มีอะไรน่าสนใจ
จ้านเซินยังเป็นคนมุทะลุ ไม่รู้จักถนอมน้ำใจ เขาไม่ชอบเลยสักนิดเดียว
ลู่เซิ่นบอกความคิดของตัวเองให้กับเขา : “ผมได้ทำลายอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยของโรงพยาบาล แล้วก็เจอแผนที่ช่องทางที่สามารถเดินทะลุไปยังห้องผู้ป่วยของฉินซีได้ เพียงแต่ว่าผมไม่รู้บอดี้การ์ดเหล่านั้นยืนเฝ้าคุมอยู่ตรงไหนบ้าง โจวซิงผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
เขาพูดอย่างไม่อ้อมค้อมด้วยสายตาที่แน่วแน่
เมื่อโจวซิงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็เข้าใจความหมายของเขาทันที
เขารู้สึกบนไหล่ของตัวเองนั้น มีภาระที่ต้องแบกเพิ่มขึ้น: “ได้ อย่างช้าสุดก็คือพรุ่งนี้ ที่ผมจะสามารถหาจุดที่มีความเคลื่อนไหวของเหล่าบอดี้การ์ด จากนั้นผมค่อยบอกคุณ”
ในใจโจวซิงกระเหี้ยนกระหือรือ แล้วทั้งสองคนก็คุยเรื่องนี้กันอีกสักพัก
…..
ณ เวลาเดียวกัน
ในห้องผู้ป่วย ฉินซีมองจ้านเซินที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเอง ยิ้มจางๆแล้วพูดขึ้น : “จ้านเซิน ฉันไม่เจอเหยาจ้าวมานาน ฉันอยากจะคุยกับเขาสักสองสามคำ คุณช่วยออกไปก่อนได้ไหม เมื่อถึงเวลาทำการทดลอง แล้วคุณค่อยเข้ามา”
น้ำเสียงของเธอที่อ่อนโยนทำให้คนฟังยากจะปฏิเสธได้
จ้านเซินพยักหน้า : “ อืม”
สำหรับเหยาจ้าวนั้น เขาค่อนข้างจะเชื่อใจ
ฉินซีมองตามหลังเขาที่ค่อยๆเดินจนลับไปจากประตู ถึงได้หันมาทางเหยาจ้าว “พี่”
ฉินซีที่ไม่ค่อยจะเรียกเขาแบบนี้ น้ำเสียงนุ่มนวล เต็มไปด้วยการอ้อนวอน
เหยาจ้าวใจเต้นตึกตัก จ้องมองแววตาเธอความอบอุ่นก็บังเกิดขึ้นเล็กน้อย
แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เป็นเวลาในการนับญาติ
ฉินซีก็ทราบดี แต่ว่าเธอเป็นห่วงเหยาจ้าว : “พี่ หนึ่งปีที่ฉันจากไป เกิดอะไรขึ้นกับองค์กร ทำไมจู่ๆพี่ถึงเปลี่ยนไปแบบนี้”
นี่คือข้อข้องใจที่อยู่ภายในใจของเธอ
เธอไม่อยากเห็นญาติเพียงคนเดียวของเธอที่มีอยู่ในโลกใบนี้ ก็ถูกสถานที่เย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนั้นกลืนกิน
ฉินซียังคิดอีกว่า ถ้าหากวันหนึ่งหลังจากที่เธอหนีออกไปได้ และมีความเข้มแข็งความสามารถพอ เธอจะต้องช่วยเหยาจ้าวออกไปให้ได้
เธอรู้ว่าเหยาจ้าวนั้นก็ถูกบังคับเช่นกัน เขาเกลียดสถานที่นั้นพอๆกับตัวเอง
ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเหยาจ้าวจ้องมองเธอ : “ตอนนี้ผมเป็นแบบไหนเหรอ”
เขาย้อนถามขึ้นราวกับคนไม่มีความรู้สึก
“ตอนนี้พี่กับคนอื่นในองค์กร ไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด”
ฉินซีจ้องมองเขา เพื่อหวังว่าจะเห็นบางอย่างจากแววตาของเขา
เธอหวังว่าเหยาจ้าวนั้นแค่เสแสร้ง เช่นนี้แล้ว เหยาจ้าวก็จะสามารถช่วยเหลือเธอต่อไปได้
แต่ว่า ฉินซีกลับไม่เห็นอะไรสักอย่าง
ดวงตาของเหยาจ้าวมืดมิด ไม่มีแสงสว่างสักนิดเดียว
เขาดูเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีจิตวิญญาณ เนื่องจากถูกเจ้านายกำหนดให้เป็นแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงดำเนินการตามคำสั่งของเขา
เขาไม่รู้ว่าอะไรคือความรู้สึก ไม่มีซึ่งกิเลสตัณหา
สีหน้าของเหยาจ้าวยังคงเย็นชา : “ผมตอนนี้เป็นแบบนี้แล้วไม่ดีเหรอ ฉินซี เธอต้องเข้าใจว่าองค์กรต้องการหุ่นยนต์ที่ไม่มีกิเลสตัณหา”
เขาได้พูดถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากฉินซีฉลาดพอ ก็จะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าฉินซีเข้าใจ แต่ว่าเธอไม่อยากจะกลายเป็นแบบนั้น
เธอยิ่งจากองค์กรไปนานเท่าไหร่ ความดื้อรั้นที่มีอยู่ในตัวก็ยิ่งมากขึ้น
“ฉัน…..”
ในขณะที่ฉินซีอยากจะเกลี้ยกล่อมเขานั้น ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักขึ้น
ขาเรียวยาวของจ้านเซินได้ก้าวเดินเข้ามา
เขามองไปทางพวกเขาสองคนแล้วพูดขึ้นเบาๆ : “คุยกันเสร็จหรือยัง”
การปรากฏตัวของจ้านเซินได้ขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา ฉินซีจึงไม่กล้าที่จะสนทนาลึกต่อไปอีก กลัวว่าจะถูกจ้านเซินจับได้แล้วเกิดความสงสัย เป็นเหตุให้เหยาจ้าวได้รับความเดือดร้อน
ฉินซียกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย : “คุยเสร็จแล้ว ฉันกำลังจะให้หมอเหยาไปเรียกคุณพอดี”
เธอฝืนยิ้มพูด ในใจเธอกลับกริ่งเกรงกับการทดลองที่กำลังจะเกิดขึ้น
การสนทนากันเมื่อสักครู่ ฉินซียังดูไม่ออกว่าเหยาจ้าวนั้นอยู่ฝ่ายไหน
แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอก็ไม่มีทางที่จะถอยได้อีก
จ้านเซินพยักหน้า แล้วมองไปทางเหยาจ้าว : “เริ่มเลย”
เหยาจ้าวขบริมฝีปากแล้วให้ฉินซีนอนหงายลงบนเตียง
“ในเมื่อก่อนหน้านี้เคยทำการทดลองมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้พวกเราข้ามขั้นตอนแรกแล้วเข้าสู่ขั้นตอนหลักเลยไหม”
เหยาจ้าวมองไปทางจ้านเซิน เพื่อถามความคิดเห็นจากเขา
ในขณะเดียวกันสายตาของฉินซีก็มองไปทางเขาเพื่อรอคำตอบจากเขาเช่นกัน