บทที่ 1355 กลับตาลปัตร
ลู่เซิ่นมองไปยังจุดสีแดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความประหลาดใจ และรอยยิ้มเล็กๆได้ปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลา
ตำแหน่งของจุดสีแดงอันนี้ มันคือตำแหน่งห้องผู้ป่วยของฉินซี
หลังจากนั้น ลู่เซิ่นได้เคาะลงบนแป้นพิมพ์สองครั้ง และแบบก่อสร้างทั้งหมดก็ได้ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
ลู่เซิ่นมองจ้องไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยใบหน้าที่จริงจัง และศึกษาเส้นทางเข้าออกของห้องผู้ป่วยอย่างรอบคอบ
ฉินซีที่ซึ่งอยู่ห่างไกลในโรงพยาบาลไม่รู้ว่า ลู่เซิ่นได้ทำหลายอย่างอย่างลับๆเพื่อที่จะได้พบเธอ
แต่ว่า ฉินซีเองกำลังพยายามเพื่อหาหนทางหนีออกมาให้เร็วที่สุด
เธอมองไปยังจ้านเซิน จู่ๆก็พูดขึ้น“จ้านเซิน นายยังจำตอนที่พวกเรายังเป็นเด็กได้ไหม มีครั้งหนึ่งที่ฉันป่วย และอยากกินซุปกระดูกหมูมากๆ แต่ว่าพ่อครัวในบริษัทลากิจกะทันหันเพราะมีธุระที่บ้าน จากนั้นฉันก็ร้องไห้ตลอด ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ นายปลอบยังไงก็ไม่หายสักที”
ขณะที่ฉินซีกำลังพูด สีหน้าของเธอก็พลันนึกย้อนไปถึง
แต่ที่จริงแล้ว ในใจลึกๆของเธอยังคงจำจ้านเซินได้ดี
ในตอนนั้นพวกเขามีความสุขมาก และไม่ต้องมาเผชิญกับความจริงที่โหดร้ายในภายหลัง
ถึงแม้ว่าภายในองค์กรจะไร้มนุษยธรรมมาก การเรียนที่ทั้งหนักทั้งเหนื่อย ซึ่งเธอมักถูกลงโทษเป็นประจำ แต่ว่าจ้านเซินก็ยังอยู่เคียงข้างเธอ
มันเป็นเพียงแค่การคงอยู่ ไม่รู้ว่ามันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไหร่
ฉินซีที่กำลังนึกย้อน พูดต่อ “ในตอนนั้นฉันเถียงว่าฉันกินอะไรไม่ได้ ฉันเลยไม่ไปเรียนและไม่อยากมีชีวิตอยู่ จากนั้นครูสอนการเอาชีวิตรอดของพวกเรา ก็มายืนสอนที่ด้านข้างของฉัน ยังใช้มือตีฉันอีก จู่ๆนายก็ปรากฏตัว จากนั้นก็ปลอบฉัน ไม่ให้ฉันร้องไห้ และหลังจากนั้น แล้วก็เปลี่ยนมาใช้ลูกไม้เดิม โดยการเอาซุปกระดูกหมูมาให้ฉัน”
ใบหน้าบอบบางได้ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆและลักยิ้มทั้งสองออกมา
ฉินซีในตอนนี้ ไม่มีความรู้สึกที่จอมปลอมแบบนั้นแล้ว ดังนั้นจ้านเซินจึงรู้สึกว่ามันคือความจริง
เมื่อพูดถึงอดีต นัยต์ตาของจ้านเซินก็เกิดความหวั่นไหว
เขานั้นจำเรื่องราวที่ฉินซีพูดมาได้ทั้งหมด ในตอนนั้นเขาโตกว่าฉินซีสองปี แต่หลังจากการเผชิญหน้ากันบนภูเขาครั้งนั้น ทั้งสองก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ฉินซีไม่ได้เถียงกับใครเพราะสิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับอัมพาตที่ใบหน้าของเขา
ในความเป็นจริงแล้ว จ้านเซินไม่ได้สนใจในสิ่งที่คนอื่นพูดเลย
ในสายตาของเขา ผู้คนเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่มดปลวกที่อ่อนแอ ไม่มีพิษภัยใดๆ เขาสามารถเอาชีวิตของพวกเขาได้ทุกเมื่อ ตราบเท่าที่เขาต้องการ
แค่เพียงฉินซีไม่รู้ เธอยังรู้สึกอย่างใสซื่อว่าเขายังคงเป็นคนดีมากๆคนหนึ่งอยู่
ริมฝีปากของจ้านเซินเปิดออก“ฉันจำได้”
ซุปกระดูกหมูถ้วยนั้น ฉันเป็นคนทำเอง
สำหรับซุปกระดูกหมูถ้วยนั้น ไม่รู้ว่าจ้านเซินใช้เวลาในการทำเท่าไร แต่สุดสุดท้ายก็ออกมาสำเร็จ
ตอนนั้นยังโดนน้ำร้อนลวก และเกิดเป็นแผลเป็นที่ลบไม่ออกบนแขนมาจนถึงปัจจุบัน
ฉินซีไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ในตอนแรก จนกระทั่งในภายหลัง บางครั้งก็ได้ยินคนในองค์กรพูดขึ้นมา และจึงรู้ว่าจ้านเซินนั้นดีกับเธอมากตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
เรื่องนี้จึงทำให้ฉินซียิ่งใกล้ชิดกับจ้านเซินมากขึ้น
ฉินซียิ้มมุมปาก “นั้นเป็นซุปกระดูกหมูที่ดีที่สุดที่ฉันได้กินในรอบยี่สิบปีเลย จ้านเซิน ขอบคุณนะ ที่คอยดูแลฉันตอนที่อยู่ในองค์กรมาหลายปี”
คำขอบคุณของเธอ เป็นคำขอบคุณที่ออกมาจากใจจริง
นอกจากนี้ก็ยังหมายถึงคำลา
จ้านเซินที่กำลังฟังรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “ผมบอกแล้ว ระหว่างเธอกับฉัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้”
ตอนนี้เขาหวังอย่างยิ่งว่า ฉินซีจะเป็นคนที่ขี้แยและเป็นคนที่เขาใกล้ชิดเหมือนกับตอนในวัยเยาว์
แต่ทว่า เวลาไม่อาจย้อนกลับ
ฉินซีไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่อายุสิบสาม สิบสี่คนนั้นที่ไม่เข้าใจเรื่องราวใดๆเหมือนแต่ก่อนแล้ว
และจ้านเซินก็เติบโตกลายเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมในองค์กร ยิ่งสูงขึ้นไป ยิ่งไร้ความปราณี และทำการทดลองที่โหดร้ายต่อไป
“โอเค หลังจากฉันจะไม่พูดแล้ว”
ฉินซีพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง และทำตามคำพูดของเขา
ฉินซีในตอนนี้ ไม่สามารถทำให้จ้านเซินไม่พอใจ
จ้านเซินชอบบรรยากาศที่กลมกลืนในตอนนี้ ฉินซีสามารถสงบสติลง และพูดกับเขาอย่างอ่อนโยน ไม่บ่ายเบี่ยงเขาอีกต่อไป เขาดีใจมาก
เขาเหลือบมองไปที่ถ้วยของฉินซี “กินน้ำซุปก่อน เดี๋ยวซุปจะเย็นแล้ว”
จ้านเซินบอกให้เธอรีบกิน แล้วฉินซีก็หยิบถ้วยขึ้นมา และกินคำโตๆ
โจวซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปทางทั้งสองที่อยู่ด้วยกัน
แม้ว่าตอนนี้ฉินซีจะดูโอเค และสงบมาก แต่ว่า โจวซิง กลับรู้สึกว่าฉินซีในตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ และรู้สึกอึดอัดมาก
ฉินซีในตอนนี้ เหมือนเป็นหุ่นยนต์สมบูรณ์แบบถูกสร้างขึ้นมาโดยจ้านเซิน
เธอมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม และยังเชื่อฟังคำสั่ง ราวกับเป็นตุ๊กตาเซรามิคที่บอบบาง และนั่งอยู่ตรงนั้น เจ้านายสั่งให้เธอทำอะไร เธอก็ทำตาม
เธอไม่เคยขัดขืน และทำตามเพียงคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น ไม่มีความคิดของตัวเอง ไม่มีจิตวิญญาณ และว่างเปล่า ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ
หลังจากที่ฉินซีได้กินซุปคำสุดท้ายแล้ว เธอก็คืนปิ่นโตกลับมาให้จ้านเซิน “กินหมดแล้ว”
เธอยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ แต่กลับไม่มีความสุขเลยสักนิดเดียว
“เธอต้องพักผ่อนเยอะๆนะ ผมจะออกไปคุยธุระกับหมอโจวสักหน่อย”
จ้านเซินมองไปยังถ้วยซุปกระดูกหมูที่กินจนหมดเกลี้ยง และพยักหน้าด้วยความเต็มใจ
เขาอธิบายให้ฉินซีสองประโยค ฉินซีเองก็…ตอบกลับแล้ว “โอเค นายไปเถอะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”
เมื่อเธอได้ยินว่าจ้านเซินกำลังจะไป ในใจของเธอก็มีความสุขขึ้นมา
ฉินซีแทบอยากจะไม่อยากให้เขากลับมาอีกตลอดกาล หลังจากที่เขากลับไป
“อืม”
จ้านเซินมองไปยังโจวซิงยืนอยู่ข้างๆ “หมอโจว รบกวนคุณมากับผมสักครู่”
เขาพลางพูดไปพลางเดินไปที่ประตู
แม้ว่าจ้านเซินจะพูดจาดูสุภาพอย่างมาก แต่การกระทำที่แท้จริงแล้ว คือไม่ให้โจวซิงมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้
เขาเป็นคนที่อำนาจมากคนหนึ่ง และฉินซีก็รู้เรื่องนี้ดีกว่าใครๆ
ฉินซีมองไปยัง โจวซิง ด้วยความกังวล และไม่รู้ว่าจ้านเซินจะทำอะไร เรื่องนี้ทำให้เกิดความกระสับกระส่ายภายในใจของเธอ
โจวซิง รับรู้ถึงความกังวลภายในใจของฉินซี และส่งสายตาให้เธอ แล้วปลอบใจเธอว่าไม่ต้องกังวลถึงคำพูดเก่าๆ จากนั้นก็เดินตามหลังจ้านเซินออกไปจากห้องผู้ป่วยทั้งสอนเดินตีคู่กันมา ไม่มีใครพูดอะไร และเดินตรงไปจนสุดทางเดิน
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางข้างหน้าแล้ว ความอดทนที่อยู่ภายในใจของโจวซิง ก็ได้หมดลง เขาอดไม่ได้และเป็นที่ผู้ก่อนว่า “คุณจ้าน ถ้าคุณยังมีเรื่องที่ไม่อยากให้คุณฉินได้ยิน เดินไปที่นี่ ก็ได้นะ ”
แม้ว่า โจวซิง ไม่รู้ว่าจ้านเซินจะพูดอะไร แต่สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่า จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฉินซีแน่นอน
เป็นอย่างที่คิดไว้ จ้านเซินพูดเรื่องของฉินซี
คุณหมอโจวคุณรู้สึกว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับการแสดงออกของฉินซีเมื่อกี้หรือเปล่า ”
แม้ว่าเมื่อกี๊ฉินซีจะแสดงได้ดีมาก แต่ว่าจ้านเซินรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
เพราแท้ที่จริงแล้วฉินซีเป็นคนที่ใสซื่อมาก ความใสซื่อมากเกินไป ทำให้จ้านเซินไม่อยากเชื่อว่านี้มันคือความจริง
ในความเป็นจริง โจวซิงยังรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงของฉินซี ในตอนนี้นั้นใหญ่เกินไปและเขาก็รีบร้อนเกินไปซึ่งทำให้จ้านเซินไม่เชื่อในความตั้งใจของเธออย่างง่ายดาย