บทที่ 1341 เรื่องดีหรือเรื่องร้าย
ฉินซีแทบจะไม่มีความลังเลสักวินาที ส่ายหน้าปฏิเสธไป “ฉันยังอยากที่จะกลับไปอยู่”
แทบจะน้อยมากที่จ้านเซินถูกคนปฏิเสธอย่างหมดจดขนาดนี้ ราวกับมีความสติหลุดอยู่ช่วงหนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากัน ดูเหมือนว่าราวกับมีคำพูดตำหนิที่จะพูดออกมา แต่กลับถูกตนเองกลืนกลับไป แสดงท่าทางแข็งทื่อแล้วพูดว่า “ได้ งั้นฉันไปกับเธอ”
ในที่สุดฉินซีก็ทนไม่ไหว หันกลับไปมองเขาแล้วเอ่ยถาม “นายมาที่นี่ครั้งนี้ ไม่มีธุระต้องไปทำหรอ?”
จ้านเซินขมวดคิ้วเล็กน้อย หรี่ตามองไปที่ฉินซี
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าความเข้ากันไม่ได้หลังจากได้เจอกับฉินซีในครั้งนี้นั้นอยู่ตรงไหน——
ตอนที่ฉินซีเผชิญหน้ากับเขาไม่มีความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว
แต่ก่อนเธอไม่ยอมมองตนตรงๆมาตลอด แม้ว่าจะไม่พอใจก็จะไม่พูดออกมาโดยตรง แต่ตอนนี้ในเวลาที่เธอเงยหน้ามองมาที่ตนก็ไม่หลบอีกต่อไปแล้ว ถึงกระทั่งสามารถพูดปฏิเสธออกมา
จ้านเซินไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี
“ไม่มีธุระอะไร แค่มาที่นี่เพื่อมาหาเธอ” เขาหยุดชะงักไปสองสามวินาที แล้วจึงพูดความจริงออกมา
ฉินซีดูเหมือนจะตะลึง สักพักถึงเปิดปาก “ฉันสบายดี ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
พูดจบ ก็ก้าวเดินตรงไปข้างหน้า
จ้านเซินมองแผ่นหลังที่มีความรีบร้อนของเธอ แล้วยิ้มเบาๆ
เขารู้ว่าตนเองเป็นคนมีความรู้สึกเฉยชาโดยเนื้อแท้ การศึกษาที่ได้มาก็ไม่ได้สอนว่าเขาควรรักคนๆหนึ่งยังไง ดังนั้นจึงไม่ค่อยรับรู้ได้ว่าความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงของคนอื่นเป็นอย่างไร
ดังนั้นเขารู้ว่าที่ตนเองรู้สึกว่าฉินซีเขินอายอยู่ในตอนนี้ ก็ไม่แน่ว่าเป็นความจริง
แต่เขายินดีที่จะเชื่อมั่นในความปรารถนาในตอนนี้ ว่าฉินซีกลายเป็นมีสีหน้าหลบเลี่ยงเพราะขัดเขิน
เริ่มตั้งแต่นาทีนั้นที่ฉินซีปรากฏตัวขึ้นในโลกของเขา เขาก็รู้เลยว่า ฉินซีนั้นแตกต่าง
แต่เขาใช้เวลานานมาก ถึงรู้ว่า “ความพิเศษ” แบบนี้ที่จริงเป็นเพราะเขาชอบเธอ
ความชอบของเขา ทำให้ฉินซีสำหรับเขาแล้ว กลายเป็นความพิเศษ
ดังนั้นเขาจึงยินดีที่จะยื่นมือเข้าไปในทุกเรื่องของฉินซี ดังนั้นเขาจึงอยากที่จะรู้ทุกเวลาทุกนาทีว่าฉินซีทำอะไรอยู่
งั้นจึงทนไม่ได้ที่ฉินซีจะไปรักคนอื่น
ในเมื่อเขาชอบฉินซี งั้นเธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ชอบเขา ไม่ใช่หรอ?
ความคิดของจ้านเซินนั้นเรียบง่าย
เขารู้สึกว่าการแสดงความรู้สึกที่ตนมีต่อฉินซีนั้นชัดเจนพอแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ฉินซีจะสัมผัสไม่ถึง
ต่อให้สัมผัสไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เขาสามารถพูดออกมา ให้ฉินซีได้เข้าใจ
คิดแบบนี้ รอยยิ้มตรงมุมปากของจ้านเซินก็ผ่อนคลายลง ก้าวเท้าเดินตามไป
……
ถึงกระนั้นความคิดของฉินซีกับการคาดเดาของจ้านเซินก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อก่อนแม้ว่าจ้านเซินจะไม่ได้ปิดบังความรู้สึกที่มีต่อตน ทุกคนแทบจะดูออกถึงความพิเศษที่เขามีต่อตน แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดออกมา ไม่ได้ให้โอกาสฉินซีปฏิเสธ แต่ก็ทำให้เธอเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกของจ้านเซินโดยตรง
แต่จ้านเซินในวันนี้ดูไม่เหมือนปกติ
ดูเหมือนเขาคิดอะไรได้ เอาแต่หยั่งเชิงตนอย่างไม่ชัดเจน น้ำเสียงที่พูดคลุมเครือยิ่งกว่าปกติไม่รู้กี่เท่า
ฉินซีเกือบจะสงสัย ว่านาทีต่อจากนี้เขาจะไม่ถอยแล้ว
ไม่ถอยก็ไม่ใช่ไม่มีข้อดี ฉินซีสามารถที่จะปฏิเสธเขาตามตรงได้ อันที่จริงเป็นเรื่องดีสำหรับทั้งคู่ แต่ฉินซีกลับกังวลว่าตามนิสัยของจ้านเซิน จะไม่ยอมรับการปฏิเสธอย่างจริงใจ
ถ้าเกิดจู่ๆเขาลงมือทำเรื่องอะไรอย่างอื่น จะทำยังไง?
ฉินซีเองก็ไม่รู้
จ้านเซินมีไหวพริบเพียงพอ และมีเงินทุนเพียงพอ ถ้าเกิดดันทุรัง ฉินซีเอาชนะเขาไม่ได้ ใช้กลยุทธ์ก่อกวน ฉินซีไม่แน่ว่าอาจหลอกเขาได้
ดังนั้นจึงรีบร้อนตัดบทของจ้านเซิน เพื่อซื้อเวลาเล็กน้อยอันมีค่าให้ตนเองได้ครุ่นคิด
แน่นอนว่าเธอได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามมาอย่างไม่ทิ้งระยะของจ้านเซิน ได้เพียงแอบกำหมัด ให้ตนเองใจเย็นลงเล็กน้อย
ใจเย็น เธอพูดกับตัวเอง
คิดให้ดีๆ กลับไปถึงตรงนั้นแล้ว จะทำยังไง
แผงลอยตอนเช้าอยู่ห่างไม่ไกลนัก เหลือเวลาให้ฉินซีครุ่นคิดไม่มาก ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ทั้งสองก็ผลักประตูเดินเข้าไป
ร่างของจ้านเซินสูงใหญ่ เข้าใกล้ในที่แจ้งก็มีความกดดันเพียงพอแล้ว ตอนนี้กลับเข้ามาในบ้าน พื้นที่ที่เดิมที่ไม่ได้คับแคบกลับกลายเป็นกดดันขึ้นมา
เขากลับดูเหมือนไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย เดินผ่านฉินซี เดินตรงไปที่ห้องรับรองชั้นบน เดินไปพูดไป “ถ้าไม่ออกไปข้างนอก ก็อยู่บ้านดูหนังสักหน่อยเถอะ เธอชอบประเภทอะไร? หนังบู๊เป็นไง? ผมพลาดไปหลายตอนแล้วไม่ได้ดูเลย วันนี้ไม่ง่ายเลยที่จะว่าง ในที่สุดก็ชดเชยกลับมาได้”
ฉินซีมองเขาเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย ท่าทางไม่คิดว่าตนเองเป็นคนนอกเลยสักนิด ถอนหายใจเบาๆ
อันที่จริง ถ้าพูดออกมาอย่างจริงจัง สถานที่นี้….ก็เป็นที่ของจ้านเซิน
เทียบกับการบอกว่าเป็นบ้านของเธอแล้ว บอกว่าเป็นบ้านของจ้านเซินยังจะถูกต้องมากกว่า
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าของทั้งองค์กร ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเขา
ท่าทางที่พูดเองเออเองของเขาถึงเป็นจ้านเซินที่ฉินซีคุ้นเคย เขาไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น แค่เพียงเขาต้องการ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้มา แค่เพียงเขาคิด ก็แน่นอนว่าต้องกลายเป็นของเขา
เขาไม่เคยถามฉินซีว่าอยากดูหนังไหม แค่ตนเองตัดสินใจไปแล้ว และไม่ถามว่าฉินซีอยากดูหนังต่อสู้ไหม เลือกเพียงเพราะความชอบของตนเอง
ในโลกของเขาสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ต้องพิจารณา ที่จริงมีเพียงแค่เขาเอง
—-นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉินซีถึงมีความโกรธเคืองต่อเขา
ความกระตือรือร้นชั่วขณะก่อนหน้านี้หยุดชะงักโดยสิ้นเชิงจากการตายของฟางฟาง เธอจำได้เสมอว่าก่อนที่ตนจะไป ฟางฟางมองมาที่ตนแล้วทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ว่า
“อย่าถูกทำให้จนมุม”
แม้ว่าไม่มีการปรากฏตัวของลู่เซิ่น เธอก็ไม่มีวันที่จะอยู่กับจ้านเซิน
เพราะเธออยากที่จะออกจากองค์กร ออกจากจ้านเซิน ก่อนหน้าที่จะพบรักกับลู่เซิ่นนานแล้ว
ในความรู้สึกที่จ้านเซินมีให้ มีความเป็นเจ้าของมากเกินไป เขาจะเป็นเหมือนพ่อของเธอ ทำให้ฉินซีออกไม่ได้ อยู่ในองค์กรตลอดไป ไม่มีอิสระ
เขาจะทำเรื่องที่เขาคิดว่าถูกต้อง ทำให้ฉินซีกลายเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นของเขาอย่างแน่นอน ถูกเขาขับเคลื่อนได้
ไม่เคารพ ไม่มีอิสระ ถ้าไม่ถูกกำจัดทิ้งอย่างเต็มอกเต็มใจ ก็ตายไปอย่างเจ็บปวด
ท้ายที่สุดฉินซีก็จะมีจุดจบเช่นเดียวกับฟางฟาง
นี่เป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้
ดูเหมือนว่าจ้านเซินจะไม่เข้าใจข้อเท็จจริงนี้เลย
เขาเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เห็นว่าฉินซีไม่ได้ตามขึ้นมา ยังหันกลับไปเอ่ยถาม “มีอะไร? ขึ้นมาสิ?”
ฉินซีเม้มปากเบาๆ แต่ก็เดินตามขึ้นไป
จ้านเซินเห็นเธอขยับแล้ว ก็รู้สึกพอใจมากกว่า ตนเองเดินมาถึงห้องรับรอง เชื่อมต่อโปรเจคเตอร์อย่างคุ้นเคย เหมือนกับที่ตัวเขาเองพูดไว้ เปิดภาพยนตร์แอคชั่นต่อสู้เรื่องหนึ่ง แล้วฉายขึ้นมา
เมื่อเพลงเปิดดังขึ้น เขาก็หันไปมองฉินซีอย่างสนอกสนใจ พูดแนะนำว่า “เรื่องนี้สนุกมาก เธอจะต้องชอบ”
ฉินซีเพียงแค่ยิ้มเบาๆ ดูไม่ออกว่ามีความสนใจหรือไม่
แต่จ้านเซินหันหน้ากลับไปแล้ว