บทที่ 1316 ข้ออ้าง
ห้องประชุมอยู่ชั้นหนึ่งเหล่าหวางเปิดประตูให้กับฉินซี เมื่อเธอเงยหน้ามอง ก็เห็นมีคนนั่งอยู่ในนั้นห้าคน
“ยังมีอีกสองท่านที่วันนี้ติดภารกิจ ถ้าพวกเขากลับมาแล้วผมจะให้ไปพบคุณเป็นการส่วนตัว” เหล่าหวางกล่าว
ฉินซีพยักหน้า
เมื่อเห็นฉินซีเดินเข้ามา คนที่นั่งอยู่ในนั้นห้าคนก็ได้ลุกยืนขึ้น ถึงแม้คำว่าเคารพจะแปะอยู่บนใบหน้าของพวกเขา แต่ฉินซีก็เห็นความหมายจากแววตาที่พวกเขามองมา
อันที่จริงเมื่อวานฉินซีก็ได้เปิดข้อมูลดูคร่าวๆ เหล่าหวางเป็นหัวหน้าของพวกเขามาเป็นเวลานาน แล้วจู่ๆเกิดมีการเปลี่ยนหัวหน้า พวกเขาส่วนใหญ่ก็คงไม่สามารถจะยอมรับในตัวเธอได้ทันที
อีกทั้งฉินซียังเด็กขนาดนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะให้ความไว้วางใจสำหรับพวกเขา
แต่ว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉินซี
“เชิญนั่ง” ฉินซีกล่าว
เหล่าหวางนั่งลงอยู่ข้างๆเธอ จากนั้นก็ทำการแนะนำคนทั้งห้าที่นั่งอยู่ในนั้น และงานคร่าวๆที่เธอต้องสืบทอดแทน
ฉินซีพยักหน้า ดูเหมือนว่าเธอจะตั้งใจฟัง แต่จริงๆแล้วใจเธอว่อกแว่กไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เธอกำลังคิดถึงลู่เซิ่น
ณ เวลานี้ลู่เซิ่นน่าจะตื่นนอนแล้ว
เมื่อวานเธอได้เอ่ยปากบอกกับลู่เซิ่นว่าวันนี้ตัวเธอจะไปหาเขา จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการปรากฏตัวขึ้น เขาจะเป็นกังวลไหมนะ
ฉินซีแอบชำเลืองโทรศัพท์แวบหนึ่ง
ไม่ว่าเธอจะร้อนรนสักเพียงใด แต่ว่าเมื่อรอจนมีโอกาสลากตัวออกไปจากที่นี่ ก็เป็นเวลาพักกลางวันแล้ว
“ทุกท่านทานอาหารด้วยกันนะ” เหล่าหวาง ยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง แล้วสายตาก็มองมาที่ใบหน้าของฉินซี “หรือฉินซีมีเรื่องธุระด่วนที่ต้องไป”
ฉินซีรู้สึกว่าเขาเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นแล้ว จึงได้ข่มตัวเองแล้วพูดขึ้น : “ไม่มีค่ะ ไปกันเถอะ ไปทานอาหารด้วยกัน”
อยู่ด้วยกันตั้งแต่เช้า บวกกับทานอาหารด้วยกันอีก ทำให้หลายคนมีความสนิทสนมกันมากขึ้น โชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคลภายในองค์กรนั้นเรียบง่าย ทุกคนไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำเป็นว่าสนิทกัน ถึงแม้ว่าจะโป๊กเกอร์เฟส ก็ไม่เป็นไร
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฉินซีก็พอจะทราบถึงลักษณะนิสัยของแต่ละคน ถึงแม้จะอยู่ว่าภายใต้ “การสั่งสอน”ขององค์กร แต่ความจริงทุกคนล้วนได้ถูกขัดเกลาให้แข็งแกร่ง
ทุกคนล้วนมีงานยุ่ง เมื่อเดินออกมาจากห้องอาหาร ต่างคนต่างก็แยกย้ายเพื่อทำธุระของตัวเอง
ฉินซีมีความคิดที่อยากจะทดสอบเหล่าหวางว่าจะมีการติดตามตัวเองอยู่ในระดับไหน จึงไม่ได้เสนอตัวว่าจะแยกย้ายกับเหล่าหวาง และทำการเดินกลับไปพร้อมกับเหล่าหวาง
แต่เหล่าหวางกลับหยุดอยู่ที่ประตู แล้วหันมามองฉินซี : “เรื่องที่สำคัญๆผมได้แนะนำให้ไปกับคุณแล้ว ถ้าหากมีเรื่องอะไรก็สามารถติดต่อผมได้ตลอดเวลา”
ฉินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ปัดปฏิเสธแต่อย่างใด เพียงแต่พยักหน้าให้แล้วส่งเขาด้วยสายตา
…..ความหมายของเหล่าหวางคือ ต่อไปก็จะไม่ได้มาปรากฏตัวที่นี่บ่อยๆอย่างนั้นเหรอ
ฉินซีนึกว่าเขาคือหมากที่จ้านเซินส่งมาเพื่อสอดส่องเธอ แต่ว่าเขากลับจากไปแบบนิ่งๆ ดูแล้ว…..ไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้
หรือว่าจ้านเซินนั้นจะเลิกสอดส่องตัวเองแล้วจริงๆ
ฉินซีแทบไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่าก็หาคำอธิบายอย่างอื่นไม่ได้ ทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ลึกๆข้างใน จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าประตูไป
แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเช่นกัน
ใบหน้าฉินซีผุดรอยยิ้มที่คนรอบข้างไม่สามารถสังเกตเห็นได้
ในเมื่อไม่มีคนคอยติดตามความเคลื่อนไหวของเธอ อย่างนั้น…..ตอนบ่ายเธอก็สามารถไปหาลู่เซิ่นที่โรงพยาบาลได้แล้วสิ
เธอยังจำได้แม่นว่าเวินจิ้งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้น และเธอก็เห็นกับตาว่าเวินจิ้งเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยของลู่เซิ่น
เมื่อความคิดที่คิดว่าพวกเขาสองคนอยู่ห้องผู้ป่วยกันตามลำพัง ก็ทำให้ฉินซีรู้สึกไม่สบายใจ
ดังนั้นจึงตัดสินใจไปดูที่โรงพยาบาลด้วยตาตัวเอง
…..
เมื่อถึงโรงพยาบาลก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงพอดี
ฉินซีรู้เส้นทางทางเดินไปประตูห้องผู้ป่วยของลู่เซิ่น ทันใดนั้นก็เพิ่งจะนึกออกได้ว่าตัวเองนั้นได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดไปอย่างมหันต์
คือเธอไม่ได้ถามลู่เซิ่นว่ายังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลหรือเปล่า
เมื่อวานแพทย์ได้ออกมาบอกสถานการณ์กับหลินหยังนั้น เธอก็อยู่ฟังด้วย ฟังตามที่แพทย์บอกแล้ว ดูเหมือนว่าอาการของลู่เซิ่นไม่ค่อยร้ายแรงสักเท่าไหร่ แค่พักผ่อนร่างกายก็เพียงพอ
ตามลักษณะนิสัยของลู่เซิ่น…..เขาจะต้องไม่เชื่อฟังคำของแพทย์อย่างแน่นอน โรคกระเพาะที่เป็นโรคเรื้อรังแบบนี้ ถ้าต้องนอนพักที่โรงพยาบาลไม่มีทางเรื่องที่จะหายได้ภายในวันสองวัน ถ้าเป็นแบบนี้ ลู่เซิ่นก็ยิ่งไม่มีทางที่จะนอนพักที่โรงพยาบาล
ตัวเองก็แค่พูดไปอย่างนั้นว่าวันนี้ตัวเองจะมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล และก็ไม่ได้ระบุเวลาการมา จนเธอเองก็นึกไม่ออกว่าลู่เซิ่นจะได้ยินในสิ่งที่เธอพูดหรือเปล่า ถ้าหากว่าไม่ได้ยิน แล้วเขาไม่อยู่โรงพยาบาลในตอนนี้ ก็ถือเป็นข้ออ้างได้
ฉินซีแทบจะไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดเฉกเช่นนี้มาก่อน จนรู้สึกนึกขำตัวเอง แต่เมื่อมาแล้ว เดินไปดูหน่อยแล้วกัน เธอจึงได้เดินขึ้นไป
ถึงแม้ว่าเมื่อวานมาแค่เพียงรอบเดียว แต่การจำสถานที่สำหรับฉินซีนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากอีกต่อไป
เธอเดินเข้าไปตามเส้นทางที่เธอจำได้ ทีละก้าวๆจนไปใกล้ห้องผู้ป่วยของลู่เซิ่นที่พักเมื่อคืน
ประตูห้องผู้ป่วยได้เปิดอยู่ ในห้องมีเสียงเบาๆลอยมา ฉินซีถึงได้ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็เดินไปสองสามก้าวจนถึงประตู แล้วชำเลืองเข้าไปข้างใน
แต่ว่าเธอมองแค่เพียงแวบเดียว แล้วก็ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
ลู่เซิ่นนั้นอยู่ในห้องผู้ป่วยจริงๆ แต่ว่าในห้องผู้ป่วยนั้นไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
ยังมีอีกคนในชุดคลุมสีขาวที่ยืนหันหลังให้กับทิศที่ฉินซียืนอยู่ ฉินซีจึงมองเห็นเพียงด้านหลังของเธอเท่านั้น
แต่ว่าแค่แผ่นหลังนี้ก็เพียงพอแล้ว
เพราะว่าแผ่นหลังนี้ฉินซีเพิ่งจะเห็นจากเมื่อวาน
นั่นคือเวินจิ้ง
หัวใจของฉินซีเต้นแปลบๆ
ถ้าคิดอย่างละเอียดถึงประสบการณ์ความรู้สึกของฉินซีกับลู่เซิ่น ตอนที่เธอยังไม่รู้สึกหวั่นไหว ต่อให้เห็นลู่เซิ่นอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เธอก็ไม่รู้สึกรู้สา แต่เมื่อหลังจากที่เธอรู้สึกหวั่นไหวแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลู่เซิ่นไปสนิทชิดใกล้กับผู้หญิงคนอื่นอีก จนกระทั่งเมื่อหนึ่งปีก่อนที่ลู่เซิ่นถูกใส่ร้ายในครั้งนั้น
แต่ครั้งนั้นฉินซีได้ตัดใจจากลู่เซิ่นแล้ว ดังนั้นความรู้สึกที่มีคือมีแต่ความเสียใจ
แต่ความรู้สึกที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้…..เหมือนเป็นอาการหึงมากกว่า
นี่ดูเหมือนว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีอาการหึงหวง
เพียงแต่ฉินซีแยกแยะความรู้สึกไม่ออก ความหึงหวงที่เดี๋ยวมีเดี๋ยวหายนั้นทำให้เธอถึงกับกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่นไม่ชอบการนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ดังนั้นจึงยังคงนั่งอยู่บนโซฟา โดยที่มือซ้ายยังคงมีสายน้ำเกลือห้อยไว้
ส่วนเวินจิ้งนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขา จนบดบังการมองเห็นของเขา ใบหน้าที่เย็นชาได้สั่งกำชับเขาว่าวันนี้หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ถึงจะไม่ทำให้อาการโรคกระเพาะกำเริบ
เหตุผลที่ใบหน้าเย็นชา…..เพราะเธอรู้ดีว่าลู่เซิ่นไม่มีทางที่จะยอมเชื่อฟังคำของเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะความเป็นแพทย์มืออาชีพ เธอแทบไม่อยากจะเสียเวลามาสนใจเขาด้วยซ้ำ
ใบหน้าที่ไม่สนใจของลู่เซิ่น แทบจะมีคำว่า “ฟังไม่เข้าหู” เขียนไว้บนใบหน้า
ทั้งคู่ที่คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน คนหนึ่งพูดคนหนึ่งฟัง เพียงแต่คนพูดพูดอย่างไม่จริงจัง ส่วนคนฟังก็ฟังอย่างไม่ตั้งใจ