บทที่ 1314 ผู้มาเยือน
ก่อนที่จะขึ้นเรือสำราญ ฉินซีเดิมทีได้วางแผนการดำเนินชีวิตกลับไปสู่โหมดปกติ แม้แต่ตอนที่ออกจากโรงพยาบาล เธอก็ยังคิดเช่นนี้
แต่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่า…..จะกลายมาเป็นนี้
ใบหน้าฉินซีค่อยๆผุดรอยยิ้มออกมา ที่ราวกับว่าไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นของตัวเองไว้ได้ และได้ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ออกมา
……
ในห้องผู้ป่วยของลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นอยู่ในห้องผู้ป่วยอยู่หลายชั่วโมง ก็ได้มีคนหลายกลุ่มเข้ามาเยี่ยม
จนในที่สุดแพทย์ก็ทนดูต่อไปไม่ได้ ต้องการอยากให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ จึงได้ปิดประตูลง เขาถึงได้รับความสงบ
แพทย์คนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเวินจิ้งนั่นเอง
“คุณย้ายมาที่แผนกลำไส้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมผมไม่ยักรู้” ลู่เซิ่นยิ้มขึ้นเบาๆ “อยู่เป็นเพื่อนผมทั้งคืน ทำไม หรือว่าอยากจะเป็นคุณหญิงลู่จริงๆ”
เวินจิ้งกลอกตามองบน : “ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อบ้านของคุณมาขอร้องฉันด้วยตัวเอง ฉันคงไม่มีเวลาว่างมาสนใจคุณ”
ลู่เซิ่นยิ้ม ไม่มีการตอบใดๆ
เวินจิ้งกวาดสายตามองเขา : “ทำไม เจ็บกระเพาะเหรอ”
ลู่เซิ่นส่ายหัว
เขาดูเงียบสงบจนเป็นที่ผิดสังเกต เวินจิ้งครุ่นคิด แล้วก็ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ
ลู่เซิ่นเห็นเธอนั่งลง จึงได้ยิ้มขึ้น : “ดึกขนาดนี้ยังจะอยู่ที่ห้องผู้ป่วยของผมอีก ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าจะคิดว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆหรอก”
ครั้งนี้เวินจิ้งขี้เกียจจะสนใจเขา และก็พูดขึ้น : “ฉันเห็นภรรยาของคุณ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่เซิ่นแข็งทื่อทันใด จากนั้นก็ค่อยๆจางหายไป
“รั้งเธอไว้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอารมณ์ถึงไม่ดีเหรอ” เวินจิ้งถามขึ้น
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับขึ้น : “ทำไม คืนนี้จู่ๆเกิดอยากเป็นจิตแพทย์ขึ้นมาเหรอ”
เวินจิ้งมองใบหน้าที่ฝืนยิ้มของเขา ทำให้นึกถึงท่าทางการขอร้องของพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ จึงได้พูดต่อ : “ก็เห็นคุณอารมณ์ไม่ค่อยดี ที่ถามขึ้นก็เพราะในฐานะเพื่อนเท่านั้นเอง”
ลู่เซิ่นกลับขมวดคิ้วขึ้น: “ผมไม่ยักรู้ว่าพวกเรายังเป็นเพื่อนกัน”
เวินจิ้งถูกคำพูดของเขาดักไว้จนพูดไม่ออก และก็ดูออกจริงๆว่าเขาคงไม่อยากพูด ดังนั้นพูดไปก็เปล่าประโยชน์ จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทางประตู
“ฉันหากเป็นภรรยาคุณ ฉันยินยอมให้คุณปลอดภัย”
เธอทิ้งประโยคนี้แล้วก็ผลักประตูจากไป
เหลือลู่เซิ่นอยู่ที่เดิมเพียงคนเดียว ผ่านไปสักพัก มุมปากมีการยกขึ้น ราวกับว่าจะผุดรอยยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ใช่
มือซ้ายหยอดน้ำเกลืออยู่ จนท่อนแขนนั้นเย็นไปหมด แต่ยังดีที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของมือขวาของเขา
ลู่เซิ่นกำลังจะเปิดแล็ปท็อปเพื่อดูงาน โทรศัพท์ก็เกิดดังขึ้น
เขาคิดว่าคงจะเป็นเรื่องงาน และเมื่อกำลังจะกดรับสาย หมายเลขที่แสดงอยู่บนหน้าจอ ได้ทำให้ชะงักไปสองสามวินาที
หมายเลขนี้…..นี่เป็นหมายเลขของฉินซี
ถึงว่าทำไมลู่เซิ่นตกใจ ฉินซีแทบจะไม่เคยโทรหาลู่เซิ่น
สัญญาณของเธอจะถูกตรวจจับแบบเรียลไทม์เมื่ออยู่ในองค์กรใหญ่ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าติดต่อกับลู่เซิ่น มีเพียงเวลาที่ออกจากองค์กรใหญ่ แล้วนัดพบกับลู่เซิ่นเป็นบางครั้ง และก็ส่งข้อความให้กับลู่เซิ่นเท่านั้น
ตอนนี้เธอที่เพิ่งจากไป แล้วทำไมถึงได้โทรศัพท์มาหา
ลู่เซิ่นคิดไม่ตก แต่ก็ไม่รีรอ รีบรับสายโทรศัพท์ขึ้น
วินาทีที่เสียงฉินซีดังขึ้น จิตใจของเขาได้สงบนิ่งทันใด
“ลู่เซิ่น” เสียงของฉินซีที่เรียบนิ่ง “คุณพักผ่อนหรือยัง”
ลู่เซิ่นส่ายหน้า น้ำเสียงได้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลขึ้นอย่างไม่รู้ตัว : “ยัง คุณล่ะ อยู่บนเครื่องบินขากลับแล้วเหรอ”
ทันใดนั้นในน้ำเสียงของฉินซีมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ : “ฉัน…..ไม่กลับไปแล้ว”
“ไม่กลับ” น้ำเสียงลู่เซิ่นสูงขึ้น “คุณ…..”
“ไม่ใช่” ฉินซีรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองนั้นเหมือนจะทำให้คนเข้าใจผิด จึงรีบเอ่ยปากอธิบายขึ้น “ไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องกลับไปที่องค์กร เพียงแต่แค่ไม่ต้องกลับไปที่องค์กรใหญ่แล้ว”
เธอใช้คำสั้นๆอธิบายให้กับลู่เซิ่นถึงเรื่องที่เธออยู่เมืองหนาน แต่ว่าไม่ได้พูดเอ่ยถึงพฤติกรรมแปลกๆของจ้านเซิน
แม้เธอจะไม่พูด แต่ตัวลู่เซิ่นเองก็พอจะเดาออกได้
“เป็นเขา…..ที่วางแผนแบบนี้เหรอ” เวลาที่ลู่เซิ่นพูดถึงจ้านเซินนั้น มักจะใช้คำคลุมเครือเช่นนี้เสมอ “เขายอมให้คุณไม่ต้องกลับไปเหรอ”
ดูเหมือนลู่เซิ่นจะเข้าใจดีกว่าฉินซีเสียอีก จ้านเซินนั้นหมกมุ่นวุ่นวายกับเธอมากแค่ไหน
ฉินซีกลับพยักหน้าแล้วพูด : “เป็นการวางแผนของเขาจริงๆ”
ลู่เซิ่นนึกถึงภาพที่ฉินซีจากไปเมื่อสักครู่ คนแรกที่มาเยี่ยมเขาในห้องผู้ป่วย
ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น…..ถังย่า
หลังจากที่แต่งงานกับฉินซีแล้ว ลู่เซิ่นก็ไม่เคยเห็นถังย่าอีก เป็นเธอที่ช่วยจ้านเซินในการพาฉินซีออกไป และก็เป็นเธอที่ต่อมาปกปิดฉินซี จนงานแต่งฉินซีกับตัวเองนั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์
ท่าทีที่ไม่ชัดเจนของเธอ ดูคลุมเครือ แต่ลู่เซิ่นกลับรู้สึกว่าตัวเองพอจะสามารถเดาเหตุผลออกได้รางๆ
เพียงแต่ว่าทำไมเธอมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ลู่เซิ่นยังคงไม่เข้าใจ
ท่าทีของถังย่ากลับดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเขา ราวกับว่าสนิทกัน เคาะประตูเสร็จก็เดินเข้ามา แล้วเดินมานั่งตรงข้ามลู่เซิ่นอย่างเป็นกันเอง จากนั้นก็ทักทายด้วยน้ำเสียงอย่างคนคุ้นเคย : “ไม่เจอกันตั้งนาน”
สำหรับลู่เซิ่นแล้วไม่ได้มองว่าเธอเป็นศัตรู แต่ไม่ถึงกับมีความเชื่อใจ ดังนั้นจึงแค่พยักหน้า ไม่มีการตอบสนองกลับกับความเป็นกันเองของเธอ
ถังย่าเห็นแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใจ ยื่นมือไปหยิบผลแอปเปิลที่วางอยู่บนจานข้างๆ แต่ไม่ได้ทาน เพียงแค่จับมาเล่นไว้ในมือ และก็พูดด้วยน้ำเสียงอย่างไม่แยแสว่า : “เมื่อสักครู่ฉันเห็นฉินซีเดินออกไปจากที่นี่”
จิตใจลู่เซิ่นดิ่งลง : “คุณเห็นเธอเหรอ”
น้ำเสียงถังย่ายังคงไม่แยแส : “ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องพวกคุณแต่งงานกันฉันยังไม่พูดเลย เรื่องเล็กๆแค่นี้ฉันก็ยิ่งไม่มีทางพูด”
แววตาของลู่เซิ่นยังคงไม่มีความเชื่อใจ
ถังย่าคนนี้…..ไม่เคยยอมทำเรื่องที่ไม่มีผลประโยชน์
ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องการหายตัวไปของฉินซี ไม่มีทางที่เธอจะโผล่มาที่นี่
“ช่างเหอะ” จ้องตากับลู่เซิ่น จู่ๆถังย่ากลับหัวเราะออกมา แล้วก็ส่ายหัว “ฉันจะบอกความจริงให้นะว่าที่ฉันมาในวันนี้ ฉันมีเรื่องอยากจะเตือนคุณ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วขึ้น : “คำเตือนรึ”
ถังย่าหัวเราะอย่างไม่แยแส : “ก็คือ…..จะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวฉินซี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีด้วยนะ แต่ว่าคุณอย่าได้ชะล่าใจจนไร้สติ อย่าถูกปิดตาจนมองไม่เห็น”
ลู่เซิ่นก็ยิ่งคิ้วเข้มขมวดมุ่น : “ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดีอย่างนั้นเหรอ แล้วเป็นเรื่องอะไรกันล่ะ”
ถังย่ากลับไม่ยอมบอก เพียงแค่ส่ายหน้า : “ถ้าฉันพูดมากไปกว่านี้ คนที่เดือดร้อนจะเป็นฉันเสียเอง ฉันพูดแค่นี้แหละ คืนนี้คุณจะเข้าใจเอง”
……
“ลู่เซิ่น” เสียงของฉินซีทำให้ดึงสติของลู่เซิ่นกลับคืนมา “ทำไมจู่ๆถึงไม่พูดล่ะ”
ลู่เซิ่นได้ปรับเสียงในลำคอ : “ไม่มีอะไร แค่ดีใจกับคุณเท่านั้น”
ที่ฉินซีพูดกับถังย่าพูด คงน่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน
จ้านเซินจู่ๆยอมปล่อยเธอให้ออกจากองค์กรใหญ่มาที่เมืองหนาน เขาต้องมีจุดประสงค์อย่างแน่นอน แต่ว่าถังย่าไม่ยอมบอกจุดประสงค์นี้ ดูเหมือนฉินซีเองก็ไม่รู้ แต่ลู่เซิ่นก็ไม่สามารถเดาออกได้
สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือการเตือนฉินซีอย่างอ้อมๆ