บทที่ 1306 ทำภารกิจ
ทั้งสองคนที่รู้ใจกันแกล้งทำเป็นลึกลับ ได้แค่มองหลินหยังยิ้มและไม่พูดอะไร
หลินหยังก็ยังไม่โกรธ ทำได้แค่กดความสงสัยของตัวเองไว้ ยืนเหมือนเด็กโง่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคน
ดีหน่อยที่ลู่เซิ่นใช้เวลาไม่นานก็อ่านเอกสารจบ เอกสารที่มีปัญหาก็บอกไปว่ามีปัญหา ที่ไม่มีปัญหาก็เซ็นให้แล้ว
หลินหยังรับเอกสารไป และเดินออกไปอย่างรู้หน้าที่
ไม่ว่าระหว่างลู่เซิ่นกับฉินซีจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาต้องอยากอยู่ด้วยกันสองคนแน่ๆ
แต่ตอนที่กำลังจะเดินออกมา เขาถูกลู่เซิ่นเรียกขึ้นมากะทันหัน
“บอกคนพวกนั้นหน่อย หลายวันนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเป็นพิเศษ ให้จัดการกันเอง” ลู่เซิ่นพูดสบายๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
การแสดงออกของหลินหยังแข็งทื่อขึ้นมาชั่วขณะ ก้มหน้าและกล่าวว่า : “ได้”
พระเจ้ารู้ว่านี่เป็นครั้งแรก นานแค่ไหนแล้วที่ลู่เซิ่นไม่พูดประโยคที่ว่าไม่ต้องมาหาเขาแบบนี้
ลู่เซิ่นที่เคยใช้เวลาตลอดทั้งวันในการทำงาน ทำงานอย่างหนักจนผู้บริหารระดับสูงของบริษัทลู่ซื่อต้องทำโอทีตามๆ กัน หนึ่งปีจากนั้น ทุกคนชินกันหมดแล้ว แค่มีปัญหา สามารถติดต่อประธานลู่ได้ตลอดเวลา
ครั้งนี้ท่าทีเปลี่ยนแปลงกะทันหัน คาดว่าผู้บริหารระดับสูงคงตกใจกันไม่น้อย
ระหว่างที่หลินหยังกำลังปวดหัวว่าจะอธิบายกับพวกเขายังไงดี อีกมุมหนึ่งในใจก็รู้สึกดีใจกับลู่เซิ่น
ในเมื่อ…เขาเองก็ไม่ได้เห็นลู่เซิ่นสบายๆ และมีความสุขแบบนี้มานานมากแล้ว
รอจนหลินหยังเดินออกไปและปิดประตูลงแล้ว ฉินซีสบายใจขึ้นมาหน่อย
ลู่เซิ่นหันไปมองเธอและยิ้มน้อยๆ : “ตื่นเต้น?”
ฉินซีมองเขาแบบตำหนิแวบหนึ่ง และไม่พูดอะไร
โชคดีที่ลู่เซิ่นแกล้งถามไปเฉยๆ ไม่ต้องการคำตอบจากฉินซีจริงๆ และเปลี่ยนประเด็นมาถามว่า : “วันนี้อยากไปไหน?”
น้ำเสียงที่เขาพูดสบายๆ เหมือนเขากับฉินซีมาที่นี่เพื่อฮันนีมูน อยากจะไปไหนก็ได้
ฉินซียิ้มฝืนๆ อยู่ในใจ
เธอเปิดเผยใบหน้าได้ ลู่เซิ่นจะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ตามใจ แต่…พวกเขาตั้งสองคน ไม่สามารถปรากฏตัวในเวลาเดียวกันได้
แต่เธอไม่ได้คิดจะพูดประโยคนี้ออกมาทำลายบรรยากาศ แค่เงยหน้ายิ้มไปที่ลู่เซิ่น : “อยู่ในห้องไม่ได้หรือไง?”
ลู่เซิ่นส่ายหน้า : “อย่างน้อยก็ไปดูทะเลที่ระเบียงเถอะ”
พูดจบทั้งสองคนก็ยิ้มให้กัน
ไม่มีใครทำลายคำพูด ต่างคนต่างพูดเข้าใจความหมายของกันและกัน
ลู่เซิ่นยื่นมือออกมาดึงฉินซีขึ้น ทั้งสองคนจูงมือกันไปที่ระเบียง
นานมากแล้วที่ฉินซีไม่ได้รับความสุขจากความรู้สึกแบบนี้
อยู่ข้างกายลู่เซิ่น ถึงแม้ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องพูดอะไร หรือทั้งสองคนต่างทำธุระของตัวเอง แค่ได้อยู่ด้วยกัน เงยหน้ามองหน้ากันเป็นครั้งคราว สบตากัน ก็หวานมากพอแล้ว
เพียงแต่ช่วงเวลาที่สวยงามแบบนี้ช่างสั้นเสียจริง
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ หลินหยังมาเคาะประตูและเดินเข้ามาอีกครั้ง
การแสดงออกทางสีหน้าของเขาสงบลงและไม่มีท่าทางตื่นตกใจกับการมีอยู่ของฉินซีอีกแล้ว แค่พูดกับลู่เซิ่นว่า : “ประธานลู่ ถึงเวลาเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงตอนค่ำแล้ว ต้องการให้เตรียมชุดกระโปรงเพิ่มอีกชุดไหม?”
เขาไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่ก็ทำให้คนเข้าใจความหมายของเขาได้
ลู่เซิ่นและฉินซีมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว
และฉินซีก็ส่ายหน้า : “ไม่จำเป็น”
แน่นอนเธออยากเป็นผู้หญิงที่ออกงานคู่กับลู่เซิ่น แน่นอนว่าอยากจะเดินควงแขนลู่เซิ่นออกมาอย่างเปิดเผย เธอเองก็รู้ เรื่องนี้สำหรับพวกเขาทั้งสองคนตอนนี้ไม่สามารถเป็นไปได้
ดีที่หลินหยังไม่ถามอะไรมาก ลู่เซิ่นสั่งแล้วว่าเขาไม่สามารถเปิดเผยการมีอยู่ของฉินซีได้ เขาก็พอเดาออกอยู่บ้าง ฉินซีอาจจะไม่เหมาะสำหรับการเปิดเผยต่อที่สาธารณะต่อหน้าคนอื่น ได้ยินฉินซีปฏิเสธข้อเสนอของตนเอง จึงเตือนลู่เซิ่นอีกครั้งให้ออกไปเตรียมพร้อม
แน่นอนว่าลู่เซิ่นไม่อยากไป
เขาอยากจะใช้เวลาสามวันนี้อยู่ด้วยกันกับฉินซีตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่เพราะในงานเลี้ยงนี้เขามีคนที่จำเป็นต้องเจอ เขาต้องปฏิเสธกลับมาแน่นอน
ฉินซีรู้ดีกว่าใคร คนที่ลู่เซิ่นต้องไปเจอคืนนี้เป็นใคร พวกเขาจะคุยเรื่องอะไร
เธออยากจะเปิดปากบอกเขาอย่างชัดเจนทั้งหมด แต่ต้องอดทนไว้ ทำได้แค่โบกมือลาลู่เซิ่น
เธอพูดไม่ได้
ไม่ใช่เพียงเพราะนี่คือภารกิจของเธอ แต่ถ้าองค์กรรู้ว่าลู่เซิ่นรู้สถานการณ์ภายใน เธอจะไม่ได้รับประกันความปลอดภัยก็ไม่เป็นไร แต่ความปลอดภัยของลู่เซิ่นก็จะถูกคุกคามด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ประตูปิดลง สีหน้าของฉินซีก็เปลี่ยนไปด้วย
เธอถอนหายใจเบาๆ รวบผมยาวของตัวเองขึ้น เปิดประตูระเบียงและกระโดดลงไป
เอกสารฉบับนั้นถือจำเป็นต้องได้มันมาไว้ในมือ แต่…ไม่จำเป็นต้องได้แหล่งน้ำมันนี้
คืนนี้หลังจากเขากลับมา ลองพูดชักชวนเขาสักครั้งก็ดี
ห้องโดยสารที่ลู่เซิ่นจองอยู่ชั้นบนสุด เธอไม่มีความกลัวที่จะกระโดดลงมา เธอกระโดดลงมายังระเบียงของชั้นถัดลงมาได้สบายๆ เสียงที่ดังขึ้นถูกกลบด้วยเสียงคลื่นจนหมด
มองสำรวจซ้ายขาวให้มั่นใจว่าไม่มีคน เธอรีบเปิดประตูระเบียงและเดินเข้าไป
นี้คือห้องที่เป้าหมายของเธอใช้เก็บเอกสาร
ฉินซีพอจะเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร
เขาเองก็น่าจะรู้ว่าเอกสารที่เขามีอยู่กับตัวนี้มีคนจำนวนมากต้องมัน จึงเก็บไว้อย่างระมัดระวัง จึงเอาเอกสารฉบับปลอมติดตัวไว้ตลอดเวลา และเอาเอกสารฉบับจริงวางไว้ในห้องนี้
ของสำคัญขนาดนี้ไม่เก็บไว้ติดตัวตลอดเวลา และยังทำให้คนสับสนโดยการเปิดห้องโดยสารอีกห้องหนึ่งไว้ ดูตั้งใจป้องกันมา แต่มันกลับช่วยลดภาระงานให้ฉินซีได้ไม่น้อย
แต่ฉินซีกลับดีใจว่าจะสำเร็จแล้ว
ฉินซีเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้อง และเปิดเครื่องรบกวนสัญญาณภาพกล้องวงจรปิดอย่างคุ้นชิน จากนั้นเดินเข้าไปด้านในสุดของห้องอย่างชินทาง ใช้มือที่สวมถุงมือเปิดประตูห้องออก
ในห้องมีโต๊ะทำงานหนึ่งตัว ถึงจะไม่เห็นเอกสาร แต่ก็พอจะเดาออก น่าจะถูกวางไว้ด้านในโต๊ะ
ฉินซีไม่ได้ประมาท กวาดสายตามองอย่างละเอียดรอบคอบทั่วห้อง แน่ใจว่าไม่อุปกรณ์ส่งสัญญาณแจ้งตำรวจติดตั้งอยู่ ถึงจะเข้าใกล้โต๊ะ
คาดว่าวิธีการของตัวเองไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ห้องนี้ไม่แม้แต่จะติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้
ฉินซีคุกเข่าลงมองสำรวจโต๊ะ เปิดทุกลิ้นชักออกดู ที่สามารถเปิดได้สะอาดเอี่ยม ไม่มีอะไรเลย มีแค่อันเดียวที่ล็อกไว้ด้วยลายนิ้วมือ
แต่การปลดล็อกแบบนี้ สำหรับฉินซีแล้วถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เธอหยิบลายนิ้วมือที่เตรียมไว้ออกมา กดเพื่อปลดล็อก แม่กุญแจส่งเสียงออกมาและเปิดออก
ฉินซีเปิดลิ้นชักออกทันที หยิบกล้องตัวจิ๋วออกมาถ่ายรูปเอกสารไว้อย่างละเอียด
เธอคำนวณเวลาในใจ
ตอนที่ลู่เซิ่นถูกเรียกให้ไปเตรียมตัว คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานทั้งหมดก็น่าจะเริ่มเตรียมตัวกันแล้ว ถ้าเป้าหมายของเธอต้องการคุยธุรกิจกับลู่เซิ่น ก็น่าจะเอาเอกสารไปด้วย