บทที่ 1276 รอที่ด้านนอกโบสถ์
ลู่เซิ่นไม่ต้องคิดให้มากความ ก็รู้ว่าทำไมสูหยิงถึงเป็นเช่นนี้
เธอไปเช็คกล้องวงจรปิดมาแล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปลู่เซิ่นได้แต่เม้มปากและไม่พูดอะไร
แต่สูหยิงเองก็อาจจะกำลังกังวลที่วันนี้เป็นวันแต่งงานของลู่เซิ่นเธอไม่ได้อธิบายอะไร มีเพียงสีหน้าที่ดูเข้าใจยาก เธอยกมือขึ้นจัดปกคอเสื้อของลู่เซิ่นให้เรียบร้อย
ชุดแต่งงานของฝ่ายชายไม่สามารถงดงามตระการตาได้เหมือนกับชุดแต่งงานของฝ่ายหญิง ดังนั้นชุดของลู่เซิ่นจึงได้รับการตกแต่งมากกว่าชุดที่เขามักสวมใส่
เสื้อสูทสีดำเข้ม เนื้อผ้ากำมะหยี่หรูหรามีระดับ ที่ปกเสื้อมีลวดลายผลไม้ที่ไม่เด่นชัดนักปักขึ้นด้วยมืออย่างพิถีพิถัน มันเล็กขนาดที่ว่าพอจะทำให้คนอื่นๆเฉลียวใจยามเมื่อเขาเดินไปรอบๆ
ชุดนี้ได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับรูปร่างของลู่เซิ่น โดยปรับให้พอดีกับช่วงไหล่ที่กว้างและเอวให้คอดลง
น้อยครั้งที่สูหยิงจะทำเรื่องแบบนี้ จากความทรงจำของลู่เซิ่นเสื้อผ้าของเขาทั้งหมดจะมีคนดูแลที่เชี่ยวชาญนำมาส่งให้ โดยเสื้อผ้าจะถูกจับคู่และวางรวมกันเป็นชุดอย่างสมบูรณ์แบบและฝากไว้ในห้องรับฝากเสื้อ จากนั้นคนรับใช้ก็จะนำแกไปตามลำดับ เมื่อเขายังเป็นเด็ก ด้วยการเคลื่อนไหวที่ยังไม่คล่องแคล่วจึงจะมีคนช่วยแต่งตัวให้ แต่เมื่อเขาโตขึ้น คนพวกนั้นจะรออยู่ที่นอกห้องนอน รอให้เขาแต่งตัวเสร็จแล้วจึงดูความเรียบร้อยให้เขาอีกครั้ง
ในระหว่างขั้นตอนนี้ ไม่เคยมีสูหยิงผู้ซึ่งเป็นแม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย
แต่ในตอนนี้เธอกำลังบรรจงทำมันอย่างตั้งใจ ราวกับว่าคนที่จับตาดูอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ลู่เซิ่น แต่เป็นสัญญาที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของบริษัทลู่ในอนาคต ที่เธอจะปล่อยมันไปไม่ได้
ดังนั้นลู่เซิ่นจึงไม่ได้ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า และปล่อยให้เธอเป็นคนจัดการทั้งหมด
จัดระเบียบปกเสื้อเชิ้ตสีขาวราวหิมะ ผูกหัวกระต่ายที่คอเสื้อ รีดทุกรอยยับที่เกิดจากการเดินบนชุดสูท
สูหยิงจัดการทุกอย่างอย่างประณีต เวลาล่วงเลยไม่หลายนาที
เธอเงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะพูด แต่สุดท้ายริมฝีปากของเธอก็มีเพียงหนึ่งประโยคที่แผ่วเบา “ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว”
พูดจบ เธอก็หันหลังกลับและเดินไปทางหอประชุม
ลู่เซิ่นเม้มปาก เดินคล้อยตามหลังไป
ถึงแม้ว่าโบสถ์จะอยู่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลลู่ แต่โดยปกติแล้วประตูหลังบ้านจะปิดสนิทอยู่เสมอ หากจะออกไปต้องใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าวนรอบวงเวียนใหญ่ และแม้ว่าตอนนี้ประตูหลังจะเปิดชั่วคราว แต่คนของบ้านตระกูลลู่ก็ยังคงเตรียมสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเพื่อไปส่งเขา
สูหยิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าไม่ได้เอ่ยออกไรออกมาแม้แต่คำเดียว ลู่เซิ่นจ้องมองศีรษะด้านหลังของเธออยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเขาก็ล้มเลิกที่จะคาดเดาความคิดของเธอ และกลับมาครุ่นคิดกับตัวเอง
ตอนนี้ฉินซีอยู่ที่ไหนกันนะ
ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีหรือเปล่านะ
ตามขั้นตอนของการแต่งงานแล้ว เขาควรไปถึงทางเข้าโบสถ์ก่อนที่ฉินซีจะมาถึง หลังจากไม่กี่นาทีต่อมา สกู๊ตเตอร์ก็จอดนิ่ง คำถามเหล่านี้ของเขายังคงไม่ได้รับคำตอบ
ลู่เหวยมาถึงเร็วกว่าพวกเขา
เมื่อเทียบกับความกังวลของลู่เซิ่นและ ความนิ่งสงบของสูหยิงแล้ว ในทางตรงกันข้าม รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่เหวยกลับเต็มไปด้วยความจริงใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่นและสูหยิงก็เดินตรงเข้าไปหาเขาเอื้อมมือจับสูหยิงพลางหันหน้าไปพูดกับลู่เซิ่น “ทางนี้เตรียมการได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
ลู่เซิ่นพยักหน้ากลับ เป็นเชิงตอบรับ
จู่ๆสูหยิงก็เอื้อมมือคว้าลู่เหวยและพาไปที่มุม เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเรื่องที่ต้องการจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ลู่เซิ่นฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปรบกวน หรือแม้แต่ถามซักไซ้
เขากำลังจะจัดพิธีแต่งงานกับฉินซี
เรื่องนี้อยู่ในความคิดของเขาทุกอณู เรียกได้ว่าฟุ้งซ่านจนไม่สามารถไปคิดเรื่องอื่นได้
เขาค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่นๆได้เลย จึงทำได้แค่ยืนอยู่อย่างนั้นและคาดเดาเวลาที่ฉินซีจะมาถึง
แม้สูหยิงและลู่เหวยที่ไปคุยกันจะกลับมาแล้วก็ตาม แต่ฉินซีก็ยังคงไม่ปรากฏตัว
สีหน้าของสูหยิงดูไร้อารมณ์ ส่วน สีหน้าของลู่เหวยก็ดูสุภาพเรียบร้อย
ดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายใจของลู่เซิ่น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้ เขาเพียงแค่ยิ้มน้อยๆพลางเอ่ยขึ้น “ได้เวลาแล้ว ลู่เซิ่น พวกเราก็ไปเตรียมตัวกันเถอะ”
ลู่เซิ่นหันไปมองทิ้งท้ายทางที่รถสกู๊ตเตอร์จะแล่นมา หากตามกำหนดการ ฉินซีก็ควรจะมาจากทางนั้น
แต่ทว่า ทิศทางนั้นในตอนนี้ยังคงว่างเปล่า
พิธีแต่งงานของฉินซีและลู่เซิ่นเป็นแบบส่วนตัวโดยไม่ได้เชิญบุคคลอื่น ดังนั้นคนที่รออยู่ที่นี่กับลู่เซิ่น นอกจากลู่เหวยและสูหยิงแล้ว ก็ไม่มีใครอื่น เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย แม้แต่หลินหยังก็กลับไปพร้อมกับสกู๊ตเตอร์
ไม่สิ ยังมีอีกคนหนึ่ง
ลู่เซิ่นรู้สึกได้ถึงมือข้างหนึ่งที่วางอยู่บนไหล่ของตนเอง
“เธอมาตามเวลาแน่นอน ไม่ต้องกังวลไปหรอก” น้ำเสียงของหลินยี่ฟังดูล้อเล่นเหมือนอย่างเคย แต่ลู่เซิ่นแยกออกว่าในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยความจริงใจ
เขาหันหน้า กวาดสายตามองหลินยี่ จากนั้นก็ยกเท้า ก้าวเข้าประตูโบสถ์
ลู่เหวยและสูหยิงสบตากันครู่หนึ่ง แล้วจึงก้าวตามไป
ลู่เซิ่นหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าโบสถ์และไม่ได้ก้าวเข้าไปข้างใน
นี่คือพิธีแต่งงานของพวกเขา
เพื่อไม่เปิดเผยตัวตนของฉินซี ลู่เซิ่นจึงตั้งใจว่าจะไม่เปิดผ้าคลุมหน้าของฉินซีต่อหน้าสูหยิงและลู่เหวย
หลังจากที่ฉินซีมาถึงหลินยี่จะทำหน้าที่เป็นญาติของฝ่ายหญิง พาเธอไปที่พรมแดงเพื่อส่งมือของเธอให้แก่ลู่เซิ่น
เหตุผลที่เลือกหลินยี่นั้นก็เพราะ นอกจากที่ตอนนี้ลู่เซิ่นแต่งงานกับเวินจิ้งแค่ในนาม โดยมีพี่ชายของเธอเป็นคนออกหน้าให้แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็เพราะฉินซีได้ตัดขาดกับตระกูลฉินแล้ว อีกทั้งแม่ก็เสียไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่จะเป็นส่งตัวเธอ
อย่างที่ทราบกันดีว่าน้อยคนนักที่จะรู้ตัวตนของเธอ ซึ่งมีเพียงหลินยี่เท่านั้นที่สามารถรับบทนี้ได้
แม้ว่าหลินยี่และลู่เหวยจะรู้เรื่องราวที่แท้จริงแล้วก็ตาม แต่สูหยิงก็ยังคงหลับหูหลับตา และไม่ยอมเข้าไปในโบสถ์ พวกเขาจะคอยมองลู่เซิ่นและฉินซีค่อยๆย่างก้าวไปที่ด้านหน้าบาทหลวงอยู่ที่นอกประตู
ลู่เซิ่นจะเป็นคนพาฉินซีเข้าไปที่โถงประกอบพิธี สาบานต่อหน้าบาทหลวงและประทับจูบแก่กันภายใต้พยานของพระเจ้า
บาทหลวงเป็นคนสูงอายุจากประเทศ A เขาผมบลอนด์ ตาสีฟ้า และพูดภาษาประเทศ F ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ในวันนี้ นอกจากฉินซีแล้ว เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นใบหน้าของฉินซี
ลู่เซิ่นทวนขั้นตอนของพิธีแต่งงานในใจ จากมือที่กำแน่นอย่างไม่รู้ตัวก็ค่อยๆคลายออก
ตามใดที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผน มันก็จะไม่มีปัญหา มันจะต้องไม่มีปัญหา
เขากำลังสะกดจิตตัวเองด้วยคำพูดนี้ซ้ำๆ ทันใดนั้นได้ถึงแรงตีที่หัวไหล่
ลู่เซิ่นหันหน้าไป ก็พบว่าเป็นลู่เหวย
ใบหน้าของลู่เหวยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่สุภาพและอ่อนโยนอย่างเช่นเคย ที่ฝ่ามือยังคงไว้ซึ่งอุณหภูมิอุ่น
เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ที่ด้านข้างหูของลู่เซิ่น พลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มทุ้ม “พ่อและแม่ของลูก ขออวยพรให้ลูกและฉินซี ครองรักกันยาวนานและมีความสุขตลอดไป”
ดวงตาของลู่เซิ่นเบิกกว้างทันที ราวกับว่าแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เขาก้าวถอยหลังเพื่อดูท่าทีของลู่เหวยให้ชัดเจน
“พ่อ”
“ลูกไม่เคยบอกแม่ของลูกมาก่อนเลยใช่ไหม” น้ำเสียงของลู่เหวยยังคงฟังดูอ่อนโยน แต่ลู่เซิ่นกลับได้ยินถึงการตำหนิ
ลู่เซิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตอบ