บทที่ 1259 ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง
เดิมครั้งนี้ จ้านเซินก็ตั้งใจจะใช้การบำบัดด้วยการสะกดจิตเช่นกัน
โชคดีที่มีเหยาจ้าว
เขาบอกว่าฉินซีเพิ่งจะผ่านการสะกดจิตให้นึกถึงความทรงจำในส่วนที่ขาดหายไปสิบกว่าปีในอดีตของตัวเอง สมองเปราะบางมากแล้ว ถ้าหากว่าฝืนใช้การสะกดจิตเพื่อปิดผนึกความรู้สึกที่ฉินซีมีต่อลู่เซิ่นอีก เกรงว่าจะสร้างความเสียหายที่ไม่อาจต้านทานได้ให้กับสมองของฉินซี
จ้านเซินถึงได้ยกเลิก
สำหรับที่ว่าทำไมถังย่าถึงต้องไปสะกดจิตนั้น…….
ฉินซีคิดว่าถังย่าที่มีรอยยิ้มเหมือนหุ่นยนต์ประดับอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะว่า เธอเป็นคนที่ทำความรู้สึกหล่นหายไปตั้งแต่กำเนิดถึงจะถูก
ถ้าหากมีคนสามารถทำให้เธอสูญเสียการควบคุมได้……ในสมองของฉินซีนั้นมีเพียงแค่ชื่อจ้านเซินเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
นับตั้งแต่ที่เธอฟื้นฟูความทรงจำเมื่อหลายปีนี้มาได้ ระยะเวลาที่ถังย่าและจ้านเซินรู้จักกันนั้นยังนานกว่าที่จ้านเซินรู้จักกับตัวเอง ถังย่าเป็นคนที่จ้านเซินให้ความไว้วางใจมากมาโดยตลอด ดังนั้น แม้ว่าภารกิจในเมืองA ครั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่จ้านเซินไม่สามารถอยู่ข้างกายตัวเองได้ การจัดการให้ถังย่ามาสอดส่องฉินซี ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ
“นั่งเถอะ” ถังย่าเชิดคางขึ้น “สั่งอาหารเดลิเวอรี่มาเติมท้องสักหน่อย”
ในละแวกอันใกล้นี้ล้วนเป็นบ้านเก่าๆ อาหารเดลิเวอรี่ที่สามารถสั่งได้ก็ไม่ใช่ของที่ดีอะไรนัก ฉินซีเห็นกล่องอาหารมันเลี่ยนแล้ว ก็ไม่มีความอยากอาหาร แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตัวเองต้องทำในคืนนี้ ก็ทำได้เพียงแค่ฝืนตัวเองให้กลืนลงไป
ถังย่านั่งลงตรงข้ามเธอ และหักตะเกียบคู่หนึ่ง
ทั้งสองคนกินอาหารเงียบๆจนเสร็จ ถังย่าก็วางตะเกียบไว้อีกด้าน และเอ่ยปากพูดในที่สุด
“ฉันได้ยินมาว่า เมื่อวานนี้ จ้านเซินใช้เครื่องบินส่วนตัวของเขามาส่งเธอด้วยตัวเอง”
ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆมืดลง ฉินซีจึงมองเห็นสีหน้าความรู้สึกของถังย่าไม่ชัด
อาศัยเพียงแค่การฟังน้ำเสียงของเธอก็เกือบจะไม่พบอะไรที่ไม่ถูกต้อง แต่ฉินซีกลับรู้สึกถึงความเป็นศัตรูหลายส่วนแปลกๆ
เธอคิดถึงว่าคืนนี้ตัวเองยังมีแผนการ ไม่สามารถทำให้ถังย่ามีโทสะได้ จึงตอบคำถามอย่างระมัดระวัง “อย่างนั้นหรือ ฉันไม่รู้”
แต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่า คำตอบแบบนี้ของตัวเองไปกระแทกโดนเส้นประสาทเส้นไหนของถังย่า น้ำเสียงของเธอดุร้ายขึ้นมาทันที
“เธอไม่รู้หรือ แต่ไหนแต่ไร เธอก็มักจะพูดว่าตัวเองไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” ดวงตาของถังย่าเบิกโตขึ้นเพราะโทสะ “พูดแสร้งโกหกว่าไม่รู้แบบนี้ จากนั้นก็มองคนอื่นทำทุกอย่างเพื่อเธอ แล้วยังจะสบายใจได้อีก!”
ฉินซีกลับสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “เธอ…..นี่เธอกำลังพูดถึงฉันหรือ”
“ไม่อย่างนั้นล่ะ!” น้ำเสียงของถังย่าดุร้ายมากขึ้น หัวเราะเสียงเย็น “เธอยังไม่รู้จักข้อบกพร่องของตัวเองจริงๆ!”
ฉินซีมองไปรอบด้านรอบหนึ่ง ตอนที่กำลังจะเอ่ยถามอะไร ถังย่าก็เอ่ยปากตอบออกมาเองแล้ว
“ไม่ต้องดูแล้ว ที่นี่เป็นฐานที่มั่นเดียวในเมืองที่ไม่มีกล้องวงจรปิดและเครื่องดักฟัง” ถังย่ายิ้ม “ฉันจัดการเป็นพิเศษ”
เธอตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา ฉินซีกลับระแวดระวังขึ้นมาทันที
ตอนที่เธอมาถึงที่นี่ในช่วงเช้า ก็พบปัญหานี้แล้ว
เทียบกับสำนักงานใหญ่ที่เกือบจะพบเห็นกล้องวงจรปิดได้ทุกแห่งแล้ว ภายในฐานที่มั่นแห่งนี้แทบจะไม่เห็นกล้องเลยสักตัว
เดิมฉินซีคิดว่าเป็นเพราะที่แห่งนี้คือบ้านส่วนตัว จึงซ่อนกล้องวงจรปิดเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่า…..ถ้าเป็นอย่างที่ถังย่าพูดจริงๆ ที่นี่ก็ไม่มีกล้องวงจรปิดเลยสักตัวหนึ่ง กระทั่งเครื่องดักฟังก็ไม่มี
ทำไมเธอจะต้องจัดสถานที่แบบนี้เป็นพิเศษด้วย
ทำไมต้องหลบเลี่ยงกล้องวงจรปิดและเครื่องดักฟัง
เธอคิดจะทำอะไรกันแน่
ฉินซีถูกถังย่าหลอกมาครั้งหนึ่งแล้ว จึงไม่มีทางที่จะเกิดความไว้วางใจต่อเธอ กระทั่งเต็มไปด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องกลัว” เหมือนกับว่าถังย่ามองออกถึงความคิดของเธอ จึงหัวเราะเสียงเบา พลางเอ่ย “ฉันไม่กล้าจะทำอะไรเธอหรอก สาเหตุที่เลือกที่นี่ ก็แค่อยากจะหาโอกาสที่สามารถพูดคุยกับเธอดีๆสักครั้งเท่านั้นเอง”
แน่นอนว่าฉินซีไม่อาจจะเชื่อคำพูดของเธอได้ทั้งหมด จึงไม่ได้ส่งเสียงออกไป เพียงแค่มองเธอเท่านั้น
“ฉันชอบจ้านเซิน” เหมือนกับว่าถังย่าต้องการจะลบล้างความกังวลของฉินซี แรกเริ่มก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเหมือนกับโยนระเบิดลงมาประโยคหนึ่ง
แม้ว่าจะเป็นฉินซี แต่ก็ยังถูกประโยคนี้ของเธอทำให้พูดไม่ออก ตะลึงไปหลายวินาที
เธอกับถังย่าล้วนชัดเจนดีว่า เมื่ออยู่ภายใต้องค์กร การยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองชอบคนคนหนึ่ง ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร ล้วนเป็นเรื่องที่อันตรายมากเรื่องหนึ่ง
ถังย่ายอมรับว่าตัวเองชอบจ้านเซิน ก็หมายความว่า เธอฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กร
ถังย่านั้นคล้ายกับว่าไม่ใส่ใจความเงียบงันของเธอ เอ่ยปากพูดต่อไปว่า “ฉันอาศัยโอกาสตอนที่เขาไปจากสำนักงานใหญ่เพราะมีธุระ ไปหาคนที่สำนักงานใหญ่เพื่อทำการสะกดจิต คิดจะปิดผนึกความทรงจำบางส่วน แต่ว่า……การบำบัดนี้ไม่สำเร็จ คุณหมอพบว่า ความทรงจำที่ฉันจำเป็นต้องปิดผนึกนั้นมีมากเกินไป จำเป็นต้องใช้เวลามากมาย ฉันไม่กล้ารบกวนเขา ดังนั้นจึงไม่ได้บำบัดรักษาจนครบหลักสูตรก็จากมาแล้ว”
ฉินซีคิดถึงเรื่องซุบซิบที่ตัวเองได้ยินตอนอยู่สำนักงานใหญ่เหล่านั้น
……..ที่แท้เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง
ถังย่าหัวเราะเยาะตัวเอง “การบำบัดรักษาอย่างครึ่งๆกลางๆนั้นไม่ได้ผลอะไร กลับกัน ยิ่งทำให้ฉันได้รู้ว่า ฉันชอบเขามานานมากแล้ว นานจนถึงตอนที่เธอยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา ฉันก็น่าจะหวั่นไหวแล้ว มิเช่นนั้น ก็คงไม่เหมือนกับที่คุณหมอพูดแบบนั้น ความทรงจำส่วนแรกที่ฉันจำเป็นต้องปิดผนึกก็คือ ตอนที่ฉันเข้ามาในองค์กร แล้วพบเขาเป็นครั้งแรก”
ฉินซีฟังถังย่าสารภาพเงียบๆ โดยไม่ส่งเสียงออกมา
เธอมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า เรื่องราวที่ตัวเองได้ฟังน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่มีความสุขเรื่องหนึ่ง
“ฉันผ่านการอบรมหลักสูตรทั้งหมดแล้วภายใต้คะแนนสูง วันแรกที่เข้าสู่องค์กรอย่างเป็นทางการนั้น ถึงได้พบกับเขา” น้ำเสียงของถังย่าแฝงไปด้วยความคิดถึงเล็กน้อย “แต่ก่อนฉันไม่เชื่อเรื่องรักแรกพบอะไรนั่น ผ่านการฝึกอบรมมานานหลายปีขนาดนั้น และก็นึกว่าตัวเองจะทิ้งอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไปได้แล้ว แต่ตอนที่ได้พบกับเขานั้น ทฤษฎีและความเชื่อทั้งหมด ล้วนสลายกลายเป็นฟองไปหมด”
ฉินซีนึกถึงภาพตอนที่ตัวเองได้พบกับลู่เซิ่นขึ้นมาทันที
เธอในตอนนั้น ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ
เธอผ่านการฝึกอบรมที่เข้มงวดมาหลายปี กระทั่งผ่านการฝึกฝนในภารกิจมากมาย รู้สึกว่าตัวเองเริ่มละทิ้งความรู้สึกเหล่านั้นของมนุษย์ได้แล้ว กลับอดไม่ได้ที่จะใจเต้นในตอนที่ได้พบกับลู่เซิ่น
“แต่ว่าฉันในตอนนั้นไม่ได้ค้นพบความคิดของตัวเองชัดเจน” ถังย่าหัวเราะเยาะตัวเอง “หรือไม่ก็ ฉันจงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่า ตัวเองโอบกอดความรู้สึกที่มีต่อเขาเอาไว้ ฉันคิดว่า ท้ายที่สุดแล้วในองค์กรก็ไม่อนุญาตให้มีความรัก ฉันมองเขาเฉยๆแบบนี้ ก็ไม่มีข้อแตกต่างอะไร”
ฉินซีพยักหน้าคล้อยตามเธอ
“แต่ว่าเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมา” ถังย่าหันหน้ามา จ้องมองฉินซีภายใต้แสงไฟสลัว “ตอนนี้เธอน่าจะฟื้นฟูความทรงจำแล้ว อะไรก็ล้วนรู้หมดแล้วสินะ”
ฉินซีพยักหน้าเงียบๆ
เธอสามารถเข้าใจความคิดของถังย่าได้
ถังย่าหัวเราะเสียงเบาอีกครั้ง “นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นในทีมของฉัน และพาเธอไปในตอนนั้น ฉันก็มีลางสังหรณ์อันเลือนรางอย่างหนึ่งว่า การปรากฏตัวของเธอคนนี้ จะเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย”
ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดสนิทแล้ว
ถังย่าหยุดชะงักไปหลายวินาทีภายใต้ความมืด ค่อยเอ่ยต่อว่า “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้น พิสูจน์แล้วว่า การคาดการณ์ของฉัน ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย”