บทที่ 1252 ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ
สูหยิงหลบเลี่ยงเขาในทันที หัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้รู้สึกเสียใจขึ้นมาในภายหลังแล้วสินะ ฉันจะบอกนายให้นะ สายไปแล้ว! นาย แล้วก็นาย! เตรียมตัวไสหัวไปให้พ้นเถอะ! หลังจากนี้ บริษัทลู่ซื่อไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกนายแม้แต่เงินแดงเดียว”
ชายที่คุกเข่าอยู่หน้าไร้สี หายใจอย่างหมดอาลัยตายอยากก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา แต่ชายที่ยืนอยู่คนนั้นกลับกลอกตาไปมา ใช้น้ำเสียงที่ใกล้เคียงการประจบสอพลอกับสูหยิง “พี่สาว ไม่ใช่ว่าพี่ไม่พอใจกับงานแต่งงานนี้ของประธานลู่หรอกหรือ ถ้าหากว่าพี่มีความคิดที่จะกลับไปที่บริษัทลู่ซื่ออีกครั้ง พี่ไล่พวกเราออกไปแบบนี้ สำหรับพี่แล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องดีอะไร……..”
ลู่เซิ่นนั่งฟังเงียบๆอยู่อีกด้านมานานขนาดนี้ เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้วก็เกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
น้าชายคนนี้……สมองใช้การไม่ค่อยได้จริงๆสินะ
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลยว่า สูหยิงได้ยินประโยคนี้แล้ว สีหน้าก็ไม่น่าดูยิ่งขึ้น
เธอไม่ได้ระบายอารมณ์ออกมาในทันที เพียงแต่หันหน้ากลับไปพิจารณามองชายคนนั้นขึ้นๆลงๆอยู่หลายวินาที
บรรยากาศภายในห้องเกือบจะหยุดชะงัก ชายคนนั้นรู้สึกเพียงแค่ว่าขนทุกเส้นบนร่างกายของตัวเองล้วนตั้งชันขึ้นมาแล้ว
ในตอนที่เขากำลังจะอ้าปากพูดออกมาอย่างทนไม่ไหว สูหยิงก็หัวเราะเสียงเบาออกมากะทันหัน “ใครบอกกับนายกันว่า ฉันไม่พอใจเรื่องการแต่งงานของลู่เซิ่น”
ใบหน้าของชายสองคนนั้นปรากฏความงงงวยขึ้นมาในเวลาเดียวกัน อดไม่ได้ที่จะสบตากันครั้งหนึ่ง ล้วนเห็นแต่ประกายความสงสัยภายในสายตาของฝ่ายตรงข้าม
ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่ลู่เซิ่นประกาศเรื่องงานแต่งงานกับคณะกรรมการบริษัท เธอมีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์กับลู่เซิ่นอย่างเห็นได้ชัด ใครมาเห็น ก็ล้วนคิดว่ามีท่าทีไม่พอใจต่อการแต่งงานที่กำลังจะมาถึงของลู่เซิ่นแม้แต่น้อย
พวกเขาสองคนล้วนคิดว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นสูหยิงมีโทสะใส่ลู่เซิ่นต่อหน้าทุกคนกับตา ก็คงจะไม่เชื่อเสียงที่อาสามเปิดให้พวกเขาฟัง และรับปากที่จะเข้าร่วมแผนการของเขาหรอก
สูหยิงเห็นสายตาของพวกเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความเมตตา เหมือนกับเห็นคนโง่สองคนที่ถูกคนหลอกลวงเอาเงินไปแล้วยังช่วยอีกฝ่ายนับเงิน “พวกนายนึกว่าฉันจะใช้บริษัทลู่ซื่อมาประชดลู่เซิ่นจริงๆหรือ”
พวกเขาสองคนอ้าปาก แต่ไม่มีใครพูด
สูหยิงถอนหายใจ หมุนตัวหนีไป ไม่มองพวกเขาอีก พลางเอ่ยต่อไปว่า “ลู่เซิ่นเป็นลูกชายของฉัน ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่บริษัทลู่ซื่อไม่ได้เป็นบริษัทของฉันเท่านั้น ยังเป็นบริษัทของผู้ถือหุ้น บริษัทของพนักงานพันกว่าคนด้วย ฉันกับลู่เหวยถอนตัวออกจากการบริหารจัดการของบริษัทลู่ซื่อมานานขนาดนี้แล้ว ช่วงเวลานี้ก็ฝากสิทธิ์ผู้ถือหุ้นที่พวกเราสองคนมีให้กับลู่เซิ่นตลอด และเขาก็ทำได้ดีมากเช่นกัน ถ้าฉันดึงหุ้นของตัวเองกลับมา กระทั่งยึดอำนาจในการจัดการคืนมาอย่างบุ่มบ่าม เพียงเพราะว่าไม่พอใจต่อความรู้สึกส่วนตัวของเขาในตอนนี้ล่ะก็ การบริหารของบริษัทจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความวุ่นวายโกลาหลในระดับสูงเลย การพัฒนาบริษัทในอนาคตก็ต้องได้รับผลกระทบเช่นกัน”
ทั้งสองคนล้วนถูกคำพูดของสูหยิงปรามลงได้ อ้าปากอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี
กระทั่งลู่เซิ่น ก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สูหยิงจะมีความคิดแบบนี้
แม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็นการแสดงละครต่อน้าชายสองคนนี้ แต่ว่าเขาเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ว่า คำพูดที่สูหยิงพูดออกมาเหล่านี้ ล้วนพูดออกมาจากเบื้องลึกในจิตใจ
เขารำลึกอยู่ชั่วครู่ ตอนที่บีบบังคับให้เขาหย่ากับฉินซีนั้น สูหยิงไม่ได้เอ่ยถึงหุ้นของบริษัทแม้แต่คำเดียว
สิ่งที่เธอใช้ข่มขู่ตัวเอง มีเพียงแค่ฐานะความเป็นมารดาเท่านั้น ไม่ใช่ฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทลู่ซื่อ
ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆก็มีความนับถือต่อสูหยิงพาดผ่านเข้ามาในใจ
“ดังนั้น พวกนายสองคนฟังฉันให้ดี” สูหยิงหมุนตัวหันกลับมามองพวกเขา “แม้ว่าบริษัทลู่ซื่อจะเป็นบริษัทที่บิดาของลู่เหวยก่อตั้งขึ้นมา แต่ที่พัฒนามาจนถึงวันนี้ ภายในก็ยังมีน้ำพักน้ำแรงนับไม่ถ้วนที่ฉันทุ่มเทด้วย ฉันไม่อนุญาตให้คนวางแผนทำให้ผลลัพธ์ของมันแปดเปื้อนเด็ดขาด พวกนายเข้าใจหรือไม่”
คราวนี้ทั้งสองคนล้วนก้มหน้า ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
สูหยิงหยิบเอกสารสองฉบับออกมาจากกระเป๋า โยนไปด้านหน้าของสองคน “เข้าใจแล้วก็เซ็นชื่อ”
ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ไม่กล้าพูดอะไรให้มากความอีก หยิบปากกาขึ้นมาแล้วก็เซ็นชื่อลงไป ชายที่ยืนอยู่คนนั้นพลิกเอกสาร อ่านตัวอักษรสีดำที่เป็นข้อกำหนดบนกระดาษขาวแล้ว แววตาก็ค่อยๆอับแสงลง
รายละเอียดในข้อตกลงเผด็จการเป็นอย่างมาก เกือบจะเป็นการที่ไม่ได้เงินแม้แต่แดงเดียวจากหุ้นบริษัทลู่ซื่อในมือที่พวกเขาส่งมอบออกไป
เขาเงยหน้าอยากจะพูดอะไรกับสูหยิง คนหลังเหมือนกับว่ามองออกถึงความลังเลของเขา เอ่ยพูดเสียงเย็นว่า “ตอนนี้รู้จักเสียดายแล้วสินะ นายอย่าลืมเสียล่ะว่า หุ้นพวกนี้ของนายเอามาจากไหน เดิมก็เป็นสิ่งที่มอบให้นายเปล่าๆ ตัวเองโลภมากจนทำหายไปแล้ว ก็โทษคนอื่นไม่ได้”
ชายคนนั้นอึกอักไม่กล้าพูด สุดท้ายแล้วอะไรก็ไม่ได้พูดออกมา ก้มหน้าเซ็นชื่อ
สูหยิงมองพวกเขาเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว ก็ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของลู่เซิ่น กดต่อสายภายใน “ผู้ช่วยหลิน เข้ามาส่งแขก”
หลินหยังไม่ได้ถามอะไรให้มากความแม้แต่คำเดียว ผลักประตูเข้ามา นำชายสองคนที่ท่าทางหมดอาลัยตายอยากออกไป
ประตูปิดลง ภายในห้องทำงานจึงเหลือเพียงแค่ลู่เซิ่นกับสูหยิงสองคนเท่านั้น
สูหยิงคล้ายกับว่าโกรธที่ตัวเองพูดมากเกินไป จึงเบนหน้าไปอีกทาง ไม่ยอมมองลู่เซิ่นตลอด
แต่ว่าลู่เซิ่นกลับจ้องมองสูหยิงเขม็งอย่างไม่ย่อท้อ
จนในที่สุดสูหยิงก็ทนไม่ไหว ถึงได้หันหน้ากลับมา ถลึงตาใส่ลู่เซิ่น “ลูกไม่มีเรื่องอื่นทำแล้วหรือ”
ลู่เซิ่นกลับคลี่ยิ้มน้อยๆ อะไรก็ไม่พูด เรียกเพียงแค่คำเดียวว่า “แม่ครับ”
การวางมาดใหญ่โตบนใบหน้าของสูหยิงก็ถูกคำๆเดียวทำให้จางหายไป เธอหลุบตาลง เสียงที่เอ่ยนั้นเบามาก
“สิ่งที่แม่พูดกับพวกเขา ก็คือสิ่งที่แม่อยากบอกลูก” มุมปากสูหยิงโค้งขึ้น อยากจะยิ้มออกมา แต่กลับทำไม่สำเร็จ “บริษัทลู่ซื่อนั้นคือสิ่งที่แม่กับพ่อของลูกส่งต่อให้กับลูกเอง ทั้งยังให้ลูกสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง ลู่เซิ่น แม้ว่าแม่จะชมลูกน้อยมาก แต่ว่าแม่ก็จำเป็นต้องพูดสักประโยคหนึ่ง หลายปีมานี้ ลูกทำได้ดีมาก”
“แม่ นี่แม่จะทำอะไร……” สูหยิงเป็นคนที่ไม่เคยเปิดเผยความในใจมากก่อน ดังนั้นเมื่อลู่เซิ่นได้ยินคำพูดของเธอแล้ว จึงรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง
สูหยิงกลับไม่สนใจเขา พูดต่อไปว่า “ความคิดของแม่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม่ล้วนวางบริษัทลู่ซื่อและผลกำไรไว้เป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นขอเพียงแค่ลูกจัดการดูแลให้ดีแบบนี้ต่อไป แม่จะไม่ไล่ลูกลงจากตำแหน่งเพราะเรื่องใดๆ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว เพียงแค่มองสูหยิงเงียบๆ รอเธอพูดต่อไป
“ลู่เซิ่น หลายวันมานี้ แม่คิดตลอดว่า ถ้าหากว่าวันนี้ลูกไม่ใช่แสร้งทำเป็นแต่งงาน แต่แต่งกับผู้หญิงที่แม่ไม่ชอบกลับมาคนหนึ่งจริงๆ แม่จะทำอย่างไร” สูหยิงถอนหายใจเบาๆ “แรกเริ่ม ความคิดของแม่นั้นย่อมเหมือนกับคนอื่นๆ เอาหุ้นในมือของแม่มาข่มขู่ลูก บังคับให้ลูกประนีประนอม หรือไม่ก็เอาตัวเองมาเป็นเบี้ยต่อรอง ถ้าลูกไม่ยอมรับปากแม่ แม่จะไปกระโดดตึกกรีดข้อมือ”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว
วิธีการด้านหลังนั้น ฟังดูแล้วคุ้นหูอยู่บ้าง…….
สูหยิงหัวเราะเสียงเรียบๆ “แม่รู้ว่า วิธีแบบหลังนี้ แม่เคยใช้แล้ว เพื่อที่จะไล่ฉินซีออกจากบ้าน”
ลู่เซิ่นแปลกใจต่อการสารภาพของสูหยิง แต่ก็ยิ่งเข้าใจว่า เธออยากจะพูดอะไรอย่างแน่นอน