บทที่ 1242 ทัศนคติที่คลุมเครือ
ห้องประชุมเล็กในที่นี่ อารองและอาสามของลู่เซิ่น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกคำพูดของทั้งสองคนได้ถูกบันทึกเอาไว้
ทั้งสองคนได้ตกลงกันสั้นๆเกี่ยวกับแผนการคร่าวๆและตกลงที่จะคุยรายละเอียดกันในตอนกลางคืนก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากห้องประชุมไป
อารองมีความกล้าน้อยกว่า ก่อนจะออกไป ยังหันหน้ากลับไปมองอาสาม สะดุ้งและถาม “พวกเราอย่างนี้จะไม่มีปัญหาจริงๆหรือ?”
อาสามกระตุกปากและหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “หากลู่เซิ่นไม่มีพ่อแม่ของเขาอยู่ข้างหลัง เขาก็จะไม่ใช้อะไรเลย”
อารองพยักหน้าอย่างลังเล ไม่ค่อยเห็นด้วยมากนัก
ลู่เซิ่นที่อยู่ในห้องสำนักงาน แสดงออกถึงท่าทีที่เยาะเย้ย
……
สองวันต่อมา ในห้องสำนักงานของลู่เซิ่น
“ สองคนนี้เคลื่อนไหวเร็วมาก ”น้ำเสียงของหลินหยังดูเรียบเฉยมาก เขาก้มลงอ่านรายงานที่อยู่ในมือ ในเช่วงวลาสองวันนี้เขาได้ไปเยี่ยมผู้ถือหุ้มเกือบทั้งหมดที่ไม่ได้สนิทกับคุณ ใช้เสียงที่บันทึกในการโต้แย้งของคุณกับประธานสู” มาเป็นหลักฐานเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าคุณสูญเสียการสนับสนุนจากประธานลู่และประธานสู?
ลู่เซิ่นพยักหน้าอย่างเฉยเมย “ที่เหลือล่ะ?” หลินหยังกล่าวต่อว่า “ตามสถานการณ์ปัจจุบันที่เราควบคุมไว้นอกเหนือจากในบรรดายี่สิบคณะกรรมการจะปลดพวกเขาออก ยกเว้นคุณประธานลู่กับประธานสูแล้วอีกสิบเจ็ดท่าน มีสิบสองท่านได้แสดงการปฏิเสธ มีสามท่านนั้นมีท่าทีก้ำกึ่งและอีกสองท่านถูกล่อลวงอย่างเห็นได้ชัดขึ้น
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “สองคน?”
หลินหยังส่งรายชื่อให้กับเขา “สองคนนี้เอง”
ลู่เซิ่นจ้องไปที่รายชื่อสองสามวินาทีก่อนที่จะนึกออกถึงรูปลักษณ์ของสองคนนี้
ถ้าจำไม่ผิดสองคนนี้น่าจะสืบทอดสมบัติของตระกูลเพื่อให้ได้ตำแหน่งกรรมการบริหารของบริษัทลู่ซื่อ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลสู โดยปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในคณะกรรมการ แทบจะไม่พูดอะไรเลย ลงคะแนนเสียงด้วยการแสดงมือก็มีแต่ที่จะเห็นด้วยทุกครั้ง
เขาไม่คาดถึงเลยจริงๆว่าพวกเขาจะมีความคิดอื่นๆ
ลองดูอีกสามคนที่มีทัศนคติที่เหมือนกัน
สองคนเป็นสมาชิกของฝ่ายบริหารและอีกคนเป็นคนใช้ของลู่เซิ่น.เป็นการส่วนตัว
บุคคลนั้นแทบจะไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไรกับลู่เซิ่นและความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้นก็งั้นๆ แต่ในความเป็นจริง เขาเป็นหมากตัวหนึ่งหรือสายลับที่ลู่เซิ่นได้จัดเตรียมไว้ในคณะกรรมการ
ครั้งนี้ เขาได้ทำตามคำสั่งของลู่เซิ่นแสร้งทำเป็นคลุมเครือเพื่อหาว่าลุงสองคนนี้ของลู่เซิ่นสร้างปัญหาอะไรขึ้นอีก
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลู่เซิ่น แม้กระทั่งหลินหยังก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ดังนั้นลู่เซิ่นจึงไม่ได้แสดงทาทีพิเศษใดๆเพียงแต่พยักหน้า “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าสองท่านที่หวั่นไหวมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลสู ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปปรึกษากับสูหยิง
สำหรับผู้จัดการทั้งสอง ลู่เซิ่นหัวเราะเยาะ
เพียงแค่ปล่อยให้ลุงที่แสนดีทั้งสองคนนั้นช่วยทดสอบว่าเขาคิดอย่างไร ว่าสองคนนี้มีจุดประสงค์อะไร
“ยังมีอะไรรายงานอีกไหม” ลู่เซิ่นถามอย่างลวกๆ ใบหน้าของหลินหยังแสดงออกถึงความลำบากใจเล็กน้อย เขาได้ชะงักไปไม่กี่วินาที จากนั้นถึงพูดต่อ “ที่ยังมีก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับงานแต่งงานของคุณในอีกไม่กี่วัน ยังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องได้รับการยืนยันกับคุณก่อน”
ลู่เซิ่นยังไม่ได้บอกความจริงเกี่ยวกับทุกสิ่งให้กับหลินหยัง แต่หลินหยังก็อยู่เคียงข้างเขาทุกวันแม้ว่าลู่เซิ่นจะไม่พูดมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้อะไรเลย
ก็แค่…เขาเองก็สับสนเล็กน้อย
ฉินซีหายไปนานกว่าสามเดือนแล้ว ตลอดมาลู่เซิ่นยังไม่ยอมแพ้ในการตามหา แต่จู่ๆก็ประกาศต่อสาธารณะว่ากำลังจะแต่งงาน ในบางโอกาสส่วนตัว เขาได้บอกว่าเจ้าสาวตัวของตนเองนั้นชื่อ เวินจิ้ง
หลินหยังยังคงจำได้ว่าตอนที่เขาอยู่ที่เมืองหนาน ลู่เซิ่นบอกกับตนเองอย่างแน่ชัดว่าเขากับเวินจิ้งไม่มีทางที่จะแต่งงานกันได้จริงๆเขาแค่ใช้สิ่งนี้เป็นของอ้างในการบรรลุเป้าหมายของเขาเท่านั้น ตอนนี้กลับเปลี่ยนคำพูด ซึ่งทำให้เขาสับสนจริงๆ
แต่ถ้าจะบอกลู่เซิ่นอยากจะแต่งงานกับเวินจิ้งจริงๆ….ดูเหมือนจะไม่ใช่
เพราะดูเหมือนลู่เซิ่นก็ไม่ได้ใส่ใจกับงานแต่งครั้งนี้มากนัก
อย่างเช่น นับหลังจากห้าวันก็เป็นงานแต่งแล้ว ลู่เซิ่นไม่ได้ขอให้เขาปรับเปลี่ยนชุดแต่งงานและแหวนแต่งงานใหม่
แม้ว่าขนาดของแหวนงานแต่งงานจะเท่ากัน แต่ชุดแต่งงานก็ไม่น่าจะเหมือนกันได้ใช่ไหมล่ะ
ครั้งที่แล้วที่ลู่เซิ่นแต่งงานกับฉินซี ไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลลู่และไม่ได้จัดพิธีงานแต่ง และคราวนี้ลู่เหวยกับสูหยิงก็เข้าใจดี ไม่ได้เตรียมพิธีงานแต่งแต่อย่างใด ขั้นตอนการจัดงานแต่งงานและสถานที่ ทั้งหมดถูกเตรียมการโดยบริษัท จัดงานแต่งงาน ดูเหมือนลู่เซิ่นไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับชีวิตคู่ของตนเอง มีเพียงเป้าหมายเดียวคือต้องยิ่งใหญ่ให้ได้ นี่เป็นอีกหนึ่งความขัดแย้ง
บริษัทจัดงานแต่งงานไม่สามารถเข้าใจข้อกำหนดที่คลุมเครือของเขาได้ เพียงว่าลู่เซิ่นให้งบประมาณที่เพียงพอ ดังนั้นพวกจึงทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสร้างงานแต่งงานที่หรูหราแบบไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน งานแต่งงานในปราสาทและรถม้าที่รับ-ส่ง พอไปถึงที่ลู่เซิ่น กลับถูกปฏิเสธ
เขาขอให้จัดงานแต่งงานให้เสร็จสิ้นในบ้านตระกูลลู่
ผู้วางแผนจัดงานแต่งงานคิดว่าลู่เซิ่นคงมีความรู้สึกว่าบ้านของเขาคงมีอะไรพิเศษกว่า ดังนั้นจึงเปลี่ยนตามคำของเขาโดยซื่อตรง อย่างไรก็ตามหลินหยังรู้ดีว่า ตั้งแต่ลู่เซิ่นย้ายมาอยู่ที่ประเทศ f แทบจะไม่เคยอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลลู่เป็นเวลานาน ความรู้สึกที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ลึกซึ้งเท่ากับบ้านในเมืองหนาน เหตุใดเขาจึงร้องขอเช่นนี้ มันทำให้หลินหยังสับสนจริงๆ
อย่างไรก็ตาม…บางแง่มุมของงานแต่งงานยังคงต้องได้รับการยืนยันจากตัวของลู่เซิ่นเอง ดังนั้นเขาจึงได้แต่หัวรั้นและคุยกับลู่เซิ่นขั้นตอนของการจัดงานแต่งงาน ฉันได้ส่งให้คุณในรูปแบบอีเมลแล้ว การเตรียมการทั่วไปคือ เราจะต้อนรับญาติในตอนเช้า พิธีจะจัดขึ้นในตอนเที่ยงส่วนช่วงบ่ายและมื้อค่ำเป็นการปาร์ตี้เซสชั่น
ลู่เซิ่นเปิดอีเมลและใส่หัวอย่างเบาๆ “ใช้ได้ ”
เขาไม่ได้ยินอะไรผิดปกติในน้ำเสียงของเขา แต่หลินหยังหดตัวลงอย่างอธิบายไม่ถูกไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดต่ออย่างไม่เต็มใจ “กำหนดการของคุณ ในกล่องอีเมลก็มีเช่นกัน ฉันจะเตือนคุณล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน”
ลู่เซิ่นชำเลืองมองไปคร่าวๆจากนั้นก็ส่งเสียง “อืม ”
หลินหยังหยุดพูดมากขึ้นและลดสายตาลง “ฉันไม่มีอะไรจะรายงานแล้ว ”
ทันทีที่ลู่เซิ่นโบกมือเขาก็ออกจากห้องทำงานไป
ลู่เซิ่นหันหน้าไปมองวันที่ที่มุมขวาล่างของคอมพิวเตอร์ อยู่ในความงุนงงชิ่วครู่
ยังมีเวลาอีกห้าวัน
ฉินซี จะปรากฏหรือไม่?
ลู่เซิ่นรู้สึกตนเองเหมือนเป็นนักโทษที่รอให้ขวานบนหัวของเขาตกลงมา รู้สึกกังวลไม่สามารถมองเห็นผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายได้ ทำได้เพียงตั้งตารอเท่านั้น
ครั้งหนึ่งหลินยี่เคยถามว่า ถ้าฉินซีไม่ปรากฏตัวในวันนั้น เขาจะทำอย่างไร
ลู่เซิ่นตอบอย่างใจเย็นเขาบอกว่าเขามีแผนสำรอง
แต่แท้จริงแล้วลู่เซิ่นไม่ต้องการใช้แผนนั้นเลย
ถ้าเกิดไม่มีฉินซีแล้วล่ะก็
ลู่เซิ่นมองไปที่กำหนดการที่หนาแน่นบนคอมพิวเตอร์ ดวงตาของเขาเริ่มเย็นชาลง
หากไม่มีเธอแล้วทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้นไม่มีความหมายใดๆ
ลู่เซิ่นเม้นปากของเขา เอื้อมมือไปปิดหน้าต่างอีเมลและมองลงไปที่รายการบนโต๊ะ
ยังไงก็กังวลไปก่อน กับปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง