บทที่ 1238 สละงานแต่งงานของตัวเอง
แต่เมื่อมองไปที่ฉากนี้ในตอนนี้ ลู่เหวยก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้วว่า ลู่เซิ่นยังคงเป็นเด็กน้อยที่ต้องการให้ตนแบกเขาไว้บนบ่าเมื่อนานมาแล้ว
“แกเข้าใจเหตุผลหรือยัง ว่าทำไมฉินซีถึงจากไป” ฝ่ามือที่ผ่อนคลายของลู่เหวยวางอยู่บนไหล่ของลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นส่ายหน้า “ผม….ไม่รู้”
ลู่เหวยหรี่ตามอง แล้วพูด “แกจำได้ไหม ตอนที่แกบอกว่าจะปล่อยข่าวแต่งงานกับเวินจิ้ง ฉันพูดอะไรออกไป”
ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมองลู่เหวยอย่างงุนงง จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆชัดเจน
“พ่อบอกว่า … ถ้าฉินซีรู้…” ลู่เซิ่นพึมพำ ดวงตาของเขาค่อยๆคมขึ้น “เป็นไปได้ไหม ที่ฉินซีจะรู้”
การแสดงออกของลู่เหวยก็ไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น เขามองไปที่ลู่เซิ่นอย่างจริงจัง “ถ้าแกคิดเรื่องนี้ดีๆ แกว่าเป็นไปได้ไหมล่ะที่เธอจะรู้”
ลู่เซิ่นรวบรวมความคิดของเขาไปที่ความทรงจำในอดีต จากนั้นก็ส่ายหัวช้าๆ “มีคนวงในรู้เรื่องนี้ไม่มากนัก แถมคนที่เกี่ยวข้องกับฉินซียิ่งน้อยเข้าไปอีก แทบจะ….เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะรู้….”
แม้ว่าเขาจะคิดอย่างนั้น แต่ลู่เซิ่นก็รวบรวมเบาะแสที่เขาเจอในอดีต และทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าแนวทางที่ลู่เหวยเสนอนั้น ดูเหมือนจะเป็นไปได้
ฉินซีเริ่มผิดปกติ หลังจากที่เขาแสดงความตั้งใจว่าจะแต่งงานกับเวินจิ้งไม่นาน และก่อนที่เขาจะพาเวินจิ้งกลับมาเธอก็จากไป…
ลู่เซิ่นไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เหมาะเจาะขนาดนี้
แต่….ใครจะบอกเธอทั้งหมดนี้
ตอนนี้ลู่เซิ่นอยู่ในอารมณ์สับสน ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะสงบสติอารมณ์และวิเคราะห์ทีละคนได้ เขาจึงข้ามเรื่องนี้ไป และคิดถึงเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเขาแทน
ถ้าฉินซีทิ้งเขาไปเพราะเหตุนี้จริงๆ แล้วตอนนี้สิ่งที่เขาทำอยู่….จะไปผลักให้ฉินซีไปไกลกว่าเดิมหรือ
มือของลู่เซิ่นกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อลู่เหวยเห็นท่าทางต่างๆของลู่เซิ่น เขาก็พอจะเดาอะไรในใจได้ เมื่อเห็นอารมณ์ของเขาเย็นลงแล้ว จึงเปิดปากพูด “งั้นที่ประกาศแต่งงานโครมๆนี่ ก็เพื่อให้ฉินซีกลับมาใช่ไหม”
ลู่เซิ่นพยักหน้าช้าๆ
ลู่เหวยเกือบจะหัวเราะเยาะเขา “ลู่เซิ่น! แกคิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่สามารถเอามาเป็นข้อต่อรองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ลู่เซิ่นแสดงสายตามึนงงออกมา “แต่พ่อ ผมคิดทุกวิธีที่คิดได้แล้ว ผมตามหาเธอมาสามเดือน แต่ฉินซีไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย ผมก็เลยต้องลอง……”
ลู่เหวยยังคงโกรธอยู่ แต่หลังจากเห็นสภาพของลู่เซิ่น เขาก็ถอนหายใจ “ฉันไม่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีสำหรับแกที่จะทำอย่างนี้ ถ้าแกทำอย่างนี้ นอกจากจะทำให้ฉินซีไม่กลับมาแล้ว ยังทำให้เธอไปไกลกว่าเดิม อย่างนั้น…คนที่จะเสียใจทีหลัง ก็จะมีแค่แกคนเดียว”
ลู่เซิ่นแสดงออกอย่างมั่นคงขึ้น
“พ่อ” เขาหันหน้าไปมองลู่เหวย “แต่ถ้าฉินซีปรากฏตัวขึ้น ผมจะอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง และแก้ปัญหาความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ของเธอ ผมแค่ต้องการโอกาส ยังไงก็ได้ให้ผมเจอเธอ”
ลู่เหวย และเขามองหน้ากันเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ยอมแพ้และถอนหายใจเบาๆ
“ยังไงฉันก็ยืนยันคำเดิมเกี่ยวกับการกระทำนี้”
แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ลู่เซิ่นล้มเลิกความคิดของเขา
เขาเข้าใจความปรารถนาของลู่เซิ่นที่จะให้ฉินซีกลับมาหาเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหยุดมันได้
เพียงแค่เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยกับแนวทางที่ลู่เซิ่นเลือกก็เท่านั้น
เมื่อเขาเดินไปที่ประตูห้องรับรอง และกำลังจะออกไป เสียงของลู่เซิ่นก็ดังขึ้น
“พ่อจะไม่บอกแม่ใช่มั้ย”
ลู่เหวยยิ้มอ่อนๆ “ไม่ต้องกังวล แม่ของแกจะรู้แค่ว่า แกไม่ลังเลที่จะสละชีวิตไปแต่งงาน เพื่อกำจัดผู้คัดค้าน”
ลู่เซิ่นพูดอย่างแผ่วเบา “…ให้เธอคิดอย่างนั้นเถอะ”
ลู่เหวยไม่พูดอะไรอีก เขาเปิดประตูแล้วเดินออกไป
สูหยิงรออยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน เมื่อเห็นลู่เหวยออกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่บอกฉันสักอย่าง”
ลู่เหวยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่ผู้ชายตระกูลลู่คุยกันก่อนจะแต่งงานน่ะ”
เมื่อสูหยิงได้ยินดังนั้นเธอจึงโบกมืออย่างไม่สนใจ และพยักหน้าไปทางห้องรับรอง “ลู่เซิ่นล่ะ ทำไมยังไม่ออกมา”
ทันทีที่เธอพูดจบลู่เซิ่นก็เปิดประตู และเดินออกไป
ใบหน้าของเขาก็ดูไม่ดีเช่นกัน สูหยิงพึมพำเสียงต่ำ “คำสอนของตระกูลลู่ของคุณเป็นบ้าอะไร ทำไมมันถึงน่ากลัวขนาดนี้”
แต่เธอไม่ใช่คนที่ชอบเสียเวลาเปล่า เมื่อเห็นลู่เซิ่นออกมา เธอก็ถามว่า “ลูกคิดจะไปปรากฏตัวต่อพวกอาสามยังไง”
ตอนนี้หัวของลู่เซิ่นเต็มไปด้วยฉินซี แต่เขาไม่สามารถที่จะแสดงมันต่อหน้าสูหยิงได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงดึงสติกลับมา และตอบสนองเธอ “พรุ่งนี้ผมต้องแถลงข่าวแต่งงานอย่างเป็นทางการ”
เขาพูดแค่นี้ก็ไม่ได้พูดต่อ
สูหยิงรออยู่ไม่กี่วิ จากนั้นก็หันหน้าไปมองเขาโดยไม่รออีกต่อไป “แถลงแล้วยังไงต่อ”
ลู่เซิ่นยิ้มจางๆ “เมื่อถึงเวลาแม่จะรู้เอง”
สูหยิงหยักริมฝีปากขึ้น “ฉันรู้แค่ว่าอุบไว้”
แม้ว่าเธอจะพูดอย่างนั้น แต่เธอก็ยังไม่ได้ถามอะไรอีก
ลู่เซิ่นได้ดูแลตระกูลลู่มาหลายปีแล้ว เนื่องจากเขามีความคิดของตัวเองอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องรายงานให้คนอื่นทราบ
ทั้งสามคนคุยกันสักพัก ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง สูหยิงจึงพูดว่า “คืนนี้ลูกไม่ได้สังสรรค์ใช่ไหม กลับมากินข้าวที่บ้านตระกูลลู่สิ”
ที่จริงเธอรู้มาแต่แรกว่าลู่เซิ่นมักจะอยู่ที่บ้านเดิมของตระกูลลู่ ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกังวลที่จะพูดเรื่องนี้
และลู่เซิ่นก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ
สูหยิง และลู่เหวยเพิ่งกลับมาประเทศ F ในขณะที่หลินยี่ และเวินจิ้งก็ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลลู่
เมื่อพวกเขาพบกันครั้งแรก ลู่เซิ่นจึงรู้สึกว่าเขายังจำเป็นต้องอยู่ในเหตุการณ์
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เมื่อเขา กับพ่อแม่ของเขาอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยกัน เขาก็รู้สึกว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้องจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าสูหยิงไม่ชอบเวินจิ้ง คางของเธอยกสูง ดวงตาของเธอแสดงความรังเกียจ แต่เพราะบุญคุณที่หลินยี่ช่วยชีวิตของเขาไว้ เธอจึงไม่ได้ว่าอะไรเวินจิ้งต่อหน้าเขา
แต่หลินยี่ก็สังเกตเห็นความไม่พอใจในดวงตาของสูหยิง เขาเป็นคนประคบประหงมน้องสาวมาโดยตลอด เมื่อ
เห็นดวงตาของสูหยิง ร่างกายของเขาก็มีรังสีอันตรายออกมาทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่เวินจิ้งได้พบกับลู่เหวย และสูหยิง แม้เธอจะสุภาพมาก แต่เธอก็รู้สึกถึงความไม่พึงพอใจจาก
สูหยิงที่แผ่ออกมาทั่วร่างกายของเธอได้ แต่เธอไม่ได้จะแต่งเข้าบ้านตระกูลลู่จริงๆ ดังนั้นเธอจึงได้แต่หัวเราะกับความไม่พอใจของสูหยิง
ลู่เหวยยืนอยู่ข้างหลังสูหยิง และมองไปที่คนทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามเขาอย่างเย็นชา
พูดอย่างเป็นกลางเวินจิ้งก็ไม่เลวเลย แต่เขาเป็นคนที่รู้ว่าลู่เซิ่นจะทำอะไรได้ดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกแบบลูกสะใภ้ต่อเวินจิ้ง