บทที่ 1227 นิสัยเปลี่ยนไปหมดแล้ว
แต่เมื่อได้ยินเนื้อหาของเสียงบันทึกอย่างชัดเจน เธอผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็กลับมานิ่งเฉยอย่างรวดเร็ว
…เสียงบันทึกนี่ถูกแทนที่
เรื่องที่เธอและเหยาจ้าวคุยกันถึงการออกไปจากที่นี่ ถูกแทนที่ด้วยเรื่องไร้สาระของฉินซีแทน กำลังบ่นพึมพำว่าทำไมถึงไม่ไปฝึกและเอาแต่บ่นว่าเหนื่อย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ
การแสดงออกของจ้านเซินทำให้ดูไม่ออกว่าเขาเชื่อหรือไม่เชื่อเสียงบันทึกนี้ ดังนั้นฉินซีจึงเพิ่มระดับการระวังในใจให้เพิ่มถึงขีดสุด พยายามควบคุมการแสดงออกของตนเอง เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นพิรุธ
“ตอนที่ฉันปวดหัวหนักๆ มักจะชอบพูดเรื่องไร้สาระเพื่อเบนความสนใจ” ฉินซียักไหล่ “แต่ก่อนจะชอบบ่นพึมพำในใจ อาจเป็นเพราะการสะกดจิตครั้งล่าสุดยังไม่หายดี เพราะงั้นนิสัยก็เลยเปลี่ยนไปหมดแล้ว”
ดวงตาของจ้านเซินยังคงไม่สามารถคาดเดาได้ หลังจากฟังคำอธิบายของฉินซีก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองสำรวจเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “เธอยังคิดจะไปอยู่ไหม”
ฉินซียิ้ม ไม่ได้ตอบคำถามไปตรงๆแต่กลับตั้งคำถามกลับ “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”
สีหน้าของจ้านเซินดูจริงจัง เขาถอนหายใจ “ฉินซี ฉันอ่อนโยนกับเธอมากเกินไปแล้ว เดิมทีฉันหวังว่าจะสามารถโน้มน้าวเธอด้วยวิธีที่นุ่มนวลได้ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น เธอมองไปรอบๆห้องกักขังพลางพูดเย้ยหยัน “นี่เหรอที่คุณเรียกว่านุ่มนวล”
จ้านเซินไม่สนใจน้ำเสียงเย้ยหยันของเธอพลางลุกขึ้นยืน “ฉันจะจัดแผนการฝึกของเธอใหม่ ฉินซี เธอได้กลับมาที่นี่อีกครั้งแน่”
แต่ฉินซีกลับยิ้มจางๆ “งั้นฉันจะรอดู”
จ้านเซินไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไป
ไม่มีใครอยู่ในห้องกักขัง ดังนั้นฉินซีจึงเดินออกไปข้างนอก
โดยคาดไม่ถึงว่าเหยาจ้าวจะยืนอยู่ข้างนอก
“คุณ….” ฉินซีกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ก็นึกถึงการเฝ้าระวังทั่วทางเดินขึ้นมาได้ เธอจึงกลืนสิ่งที่จะพูดกลับเข้าไปอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าเหยาจ้าวเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ดูเหมือนว่าเขาแค่อยากมาเห็นด้วยตาของตัวเองว่าไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉินซี จากนั้นก็เดินจากไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
ฉินซีเม้มปากพลางมองดูแผ่นหลังของเขา
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ แม้ว่าเธอและเหยาจ้าวจะเป็นคนแปลกหน้ากันโดยสิ้นเชิงที่มาบรรจบกัน แต่เมื่อคิดได้ว่าในที่แห่งนี้ยังมีพี่ชายของตัวเองอยู่ ก็ทำให้รู้สึก…ปลอดภัยขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
เธอถอนหายใจ หันหลังเดินออกทางประตูห้องกักขัง
เธอรู้ดีว่าจ้านเซินไม่ใช่คนที่จะพูดจาโหดร้ายตามอำเภอใจ ที่เขาบอกว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ตัวเองอีกต่อไป และสิ่งที่เธอจะต้องเผชิญ…แน่นอนว่าจะต้องยากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
ฉินซีจำเป็นต้องเตรียมใจเอาไว้
แต่ไม่รอให้เธอได้กลับไปถึงหอ ก็ถูกขัดขวางเสียแล้ว
“ฉินซี” สองคนที่ขัดขวางเธอดูคุ้นตา พวกเขาคือยามเฝ้าประตูเมื่อสองสามวันก่อน “มากับเราทางนี้หน่อย”
ฉินซีรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปะทะ จึงยอมอย่างไม่มีการขัดขืน เธอเดินตามทั้งสองคนไปไม่กี่ก้าว จู่ๆข้างหน้าสายตาก็มืดสนิท
…ที่ตาของเธอถูกปกคลุมไว้
“โทษทีนะ” มีคนพูดข้างหูเธอ แต่ในน้ำเสียงไม่มีความสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นฉินซีก็ถูกผลักให้เดินไปข้างหน้า
หลังจากที่ถูกปิดตา ความรู้สึกและทิศทางก็แย่ลงมาก
แม้ว่าฉินซีจะเคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน แต่หลังจากหยุดไปนานเธอก็กลายเป็น เธอก็ไม่ค่อยจะคุ้นเคยแล้ว
แม้ว่าเธอจะพยายามจำเส้นทางที่ตัวเองเดินอยู่ในใจ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถรู้ทิศทางที่แน่ชัดของตนเองได้
ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน ขึ้นลงลิฟต์หลายต่อหลายครั้ง คนที่คอยผลักให้เธอเดินก็ค่อยๆหยุดฝีเท้าลง
ผ้าสีดำที่คลุมฉินซีไว้ถูกเปิดออก เธอหรี่ตาเพื่อให้ปรับเข้ากับแสงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆสำรวจดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ในศูนย์ทดลองใต้ดิน พื้นที่โดยรอบปิดสนิท โดยแสงที่ส่องสว่างทั้งหมดล้วนมาจากไฟเหนือศีรษะ
จ้านเซินยืนอยู่ไม่ไกลที่ด้านหน้าเธอ สายตาดูจริงจังอย่างมาก
ฉินซีเพิ่งสังเกตเห็นว่าเหยาจ้าวยืนอยู่ด้านหลังของเขา
ในใจของฉินซีรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีนัก
จ้านเซินไม่ให้เวลาเธอได้เตรียมใจก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ฉินซีการฝึกของเธอหลังจากนี้จะจัดขึ้นที่นี่ การฝึกร่างกายลดลงครึ่งนึง ส่วนใหญ่จะเป็นการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา”
ฉินซีหัวเราะในใจ แน่นอนว่าเธอรู้ว่า“การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา”ที่เขาพูดถึงหมายความว่าอะไร
แต่ไม่รอให้เธอได้เอ่ยปาก จ้านเซินก็พูดต่อ “ในช่วงเวลานี้ คุณหมอเหยาจะให้คำปรึกษาทางจิตวิทยากับเธอ หากเธอมีอะไรที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด คุณหมอเหยาจะเป็นฝ่ายรับโทษ ในทางตรงกันข้าม เธอเองก็จะเป็นคนรับโทษของคุณหมอเหยาด้วย”
ฉินซีขมวดคิ้วพลางมองไปที่จ้านเซิน “นี่นายพยายามจะผูกเราสองคนไว้ด้วยกันอย่างนั้นเหรอ”
จ้านเซินยิ้มจางๆ “ไม่ ฉันก็แค่หวังว่าพวกเธอจะสามารถดูแลซึ่งกันและกันก็เท่านั้น หลักสูตรฝึกความแข็งแรงของเธออยู่ช่วงเย็น ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้คุณหมอเหยา”
ฉินซียังอยากพูดอะไรอีก แต่ก็เหลือบไปเห็นเหยาจ้าวกำลังยืนส่ายหัวอยู่ที่ด้านหลังของจ้านเซิน
เธอรู้ดีว่า ตอนนี้สถานะของตัวเองกับจ้านเซินไม่เท่าเทียมกันโดยสิ้นเชิง เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีช่องว่างสำหรับการต่อรอง
จ้านเซินยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรต่อ สั่งให้คนพาตัวเธอไปหน้าห้องเล็กๆห้องหนึ่ง เขาพูดขึ้น “จนกว่าเธอจะเสร็จสิ้นการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา เธอจะอาศัยอยู่ที่นี่”
ฉินซีมองลอดเข้าไปด้านใน มันค่อนข้างเรียบง่ายกว่าหอพักในอาคารสำนักงานใหญ่ของเธอ ไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงหนึ่งหลัง ของใช้ส่วนตัวของเธอทั้งหมดไม่ได้เอามาด้วย
จ้านเซินมองดูใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเธอ เขาหัวเราะพลางหันไปมองเหยาจ้าว “ส่วนคุณหมอเหยาก็อยู่ด้านโน้น พวกเธอต้อง…ช่วยเหลือกันและกัน”
ฉินซีหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ
แน่นอนว่าเธอรู้ว่าจ้านเซินกำลังทำอะไร
ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินข่าวลือในองค์กรมาว่าจะมีการจับคู่กันในองค์กรเพื่อที่จะสามารถควบคุมคนในองค์กรได้ ให้คอยดูแลกันและกัน หากมีใครคนใดคนหนึ่งหนี อีกคนจะต้องได้รับการลงโทษที่โหดร้ายทารุณ เพราะอย่างนั้นการสอดส่องซึ่งกันและกันจึงเป็นการเฝ้ายามที่มีประสิทธิผลมากที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเปิดเผยตัวตนของเหยาจ้าวกับเธอ
เพราะมันเป็นวิธีที่สามารถผูกมัดฉินซีได้มากที่สุด
ฉินซีรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเกลี้ยกล่อมจ้านเซินได้อีก แต่…จะหลุดพ้นจากกรงที่เขาให้ได้อย่างไรนั้น ฉินซีเองก็ยังไม่รู้
เธอทำได้แค่อดทนไปก่อนและคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ
แต่ดูเหมือนจ้านเซินว่าจะคิดว่าการเงียบของเธอคือการเชื่อฟัง สีหน้าของเธอดูผ่อนคลายลง “พรุ่งนี้ฉันจะให้คุณหมอเหยาเป็นคนบอกกำหนดการของเธอ ในเวลาเดียวกันเธอก็ต้องเป็นคนจัดการตารางงานของคุณหมอเหยาด้วย ที่นี่เคยเป็นฐานปฏิบัติการใต้ดิน แม้จะไม่ได้ใช้งานเหมือนเมื่อก่อน แต่ระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้ก่อนหน้านี้ยังคงมีอยู่ เพราะงั้นสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเธอได้”
ฉินซีหัวเราะในใจ
เครื่องมือรักษาความปลอดภัยพวกนี้…เกรงว่าจะไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา แต่มันมีไว้เพื่อให้พวกเขาอยู่ที่นี่กันอย่างเชื่อฟังต่างหาก