บทที่ 1202 ความคิดทั้งหมด อยู่ที่ฉินซี
หลินยี่นิ่งไปสักพัก
น้อยนักสำหรับลู่เซิ่นที่จะเห็นเขามีท่าทางลังเลแบบนี้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่า … ที่มาของชายคนนี้คงไม่ธรรมดา
“ลู่เซิ่น ตระกูลลู่กับฝ่ายทหารร่วมมือกันมาโดยตลอด ดังนั้น… …นายก็รู้ดี ว่าทหารเป็นคนจัดหายารายใหญ่”หลินยี่เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูด
ลู่เซิ่นพยักหน้า “ฉันรู้”
ตระกูลลู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแพทย์แต่อย่างใด ทว่าพวกเขาร่วมมือกับทหารในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างรู้เรื่องเยอะว่าคนอื่น
กล่าวกันว่ายาชั้นนำของกองทัพทั้งหมดจัดหาโดยซัพพลายเออร์รายเดียวกัน ยาหลายชนิดได้รับการพัฒนาในระดับที่สูงกว่าทหารมาก อย่างไรก็ตามเบื้องหลังของซัพพลายเออร์รายนี้ลึกลับมาก คนที่ติดต่อได้ก็มีเพียงทหารยศสูงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับซัพพลายเออร์รายนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันค่อนข้างมั่นใจคือเบื้องหลังซัพพลายเออร์รายนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรขนาดใหญ่” หลินยี่กล่าว
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ ท้ายที่สุดแล้วการวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์เป็นโครงการที่ใช้ต้นทุนสูงและต้องใช้แรงงานมาก ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้หากไม่มีการสนับสนุนทางการเงินจำนวนมาก
หลินยี่พูดต่อ “เป็นความบังเอิญมาก มีคนแนะนำให้ฉันได้รู้จักกับซัพพลายเออร์รายนี้ และได้ไปพบ หรือพูดได้ว่า เป็นหัวหน้าขององค์กรนี้”
ลู่เซิ่นมีตระหนักได้ถึงบางอย่าง เขาพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
หลินยี่เคาะหน้าชายคนนั้นบนโทรศัพท์เบาๆ “นั้นคือเขา”
ลู่เซิ่นหรี่ตามอง ก่อนถามว่า “นายแน่ใจเหรอ?”
หลินยี่หัวเราะ “ฉันจำเรื่องแค่นี้ได้หรอกน่า ไม่ผิดแน่นอน”
ลู่เซิ่นหันหน้าไปมองเขา “นายรู้ดีเกี่ยวกับองค์กรนั้นแค่ไหน?”
หลินยี่ละสายตา เขาครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ “องค์กรนี้ลึกลับมากแม้แต่ฉันก็ไม่รู้อะไรมากนัก แค่ได้เห็นชายคนนี้และรู้ว่าเขาเป็นผู้นำขององค์กรแค่นั้น อ่อ ฉันรู้แค่อย่างเดียวว่าองค์กรของเขามีชื่อว่า เฟิง”
“เฟิง?” ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว ก่อนทวนชื่อซ้ำ
หลินยี่พยักหน้า “ใช่ ชื่อคล้ายกันกับของฉันมาก พอได้ยินครั้งแรก ฉันก็จำได้ทันที”
ลู่เซิ่นไตร่ตรองโดยใช้ความคิดอีกครั้ง
ผู้ชายคนนี้ เป็นหัวหน้าขององค์กร “เฟิง”
พูดตามหลักเหตุและผล คนแบบนี้ คงไม่มีเหตุเกี่ยวข้องอะไรกับฉินซี
ทำไม… …ถึงใช้ความพยายามอย่างมากมายในการพาเธอไป
และชายคนนี้กับถังย่า และยังองค์กรเฟิงนั้นอีก มันมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน
ลู่เซินนึกถึงการตรวจสอบที่เขาดำเนินการอย่างรอบคอบเมื่อเขาเลือกที่จะร่วมมือกับถังย่า
เบื้องหลังของถังย่าดูสะอาดและไม่มีความน่าสงสัย ประวัติก็ดูสวยงามและไร้ที่ติ แต่คนตระกูลลู่บอกเขา… …เบื้องหลังของถังย่ามีอะไรที่มันแปลก
ข้อมูลทั้งหมดของเธอ ไม่มีเรื่องครอบครัวในนั้น
ไม่ว่าจะพยายามหาจากช่วงเวลาไหนหรือข้อมูลไหนอย่างไร ก็หาประวัติพ่อแม่เธอไม่เจอ เหมือนว่าเธอจะเกิดมาจากรอยแตกของหิน ไม่มีพ่อแม่
ในตอนนั้นลู่เซิ่นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้เลย บางทีเธออาจไม่มีพ่อแม่หรือเป็นเด็กกำพร้า แต่มันไม่สำคัญเลย ท้ายที่สุดแม้ว่าภูมิหลังครอบครัวของถังย่าจะดูน่าผิดปกติแค่ไหน แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำงานของเธอ
แต่วันนี้เมื่อมองย้อนกลับไปมันก็ยังแปลกอยู่นิดหน่อย
ในข้อมูลของถังย่าถ้าไม่มีพ่อแม่ … แล้วใครเป็นผู้ปกครอง?
ในตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนนี้อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ เขารู้สึกแปลกๆ
แต่การคิดโดยใช้สมาธิของเขา ถูกหลินยี่ขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
“ฉันนึกออกล่ะ!” ทันใดนั้นเสียงของหลินยี่ก็ดังขึ้นมา “นายยังจำ เรื่องระเบิดตอนยังเด็กได้ไหม?”
สิ่งที่หลินยี่พูดคืออุบัติเหตุที่เขาช่วยลู่เซิ่นจนเกือบจะเสียชีวิต
ลู่เซิ่นจำได้ไม่ลืม
“หลังจากที่องค์กรหยินเฟิงได้รับการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ ฉันได้ตรวจสอบอุบัติเหตุของเราในปีนั้นอีกครั้ง” หลินยี่ดูท่าทางจริงจังขึ้นมา “ฉันตรวจสอบได้รู้อะไรบางอย่างขึ้นมา”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว
มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับตัวเขาและเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลลู่จะไม่สอบสวน สูหยิงไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ
แต่สูหยิงกลับไม่พบอะไรทั้งนั้น
เขาจำได้ว่าในช่วงเวลาที่เขานอนอยู่ในโรงพยาบาล สูหยิงยังมาพูดกับตัวเขาเองเป็นการส่วนตัวว่า ขณะนี้ยังไม่มีผลการสอบสวนและมีความเป็นไปได้ที่ศัตรูจะหาทางกลับมาแก้แค้น ดังนั้นเขาควรจะระวังตัวเองให้มากขึ้นในช่วงนี้
ไม่คาดคิดว่าหลินยี่จะพบเบาะแสบางอย่าง
เมื่อเห็นว่าเขาสงสัย หลินยี่จึงเริ่มที่จะอธิบาย “ถ้าครอบครัวนายไม่เจออะไรที่ผิดปกติ ก็อาจจะไม่มีอะไร ถึงอย่างไร… …องค์กรแบบนี้ ใช้วิธีปกติในการสืบหาความจริงไม่ได้แน่ หรือจะสืบหาในช่องทางที่เหมาะสม ก็ยังสืบยากอยู่ดี”
ลู่เซิ่นรู้ดี
หลินยี่จึงบอกว่าเขาพบมันหลังจากก่อตั้งองค์กรของตัวเองแล้ว
ประมาณ … ว่าเป็นวิธีของคนในวงการสีเทา
หลินยี่หยุดชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “พอฉันได้เห็นสิ่งที่สืบมา การโจมตีครั้งนั้น เป็นฝีมือของเฟิง”
เขาค่อนข้างปะติดปะต่อเรื่องเองได้คร่าวๆแล้ว ลู่เซิ่นจึงไม่ได้รู้สึกตกใจนัก ทำเพียงพยักหน้ารับ
“จริงๆแล้ว ถ้าทำตามกฎของเฟิง ถึงแม้ฉันจะใช้วิธีโกงเพื่อสืบเรื่อง แต่ก็ไม่เจออะไรทั้งนั้น” หลินยี่พูดต่อ “ครั้งนั้น คนที่ลงมือไม่ใช่คนในองค์กรจริงๆหรอกนะ แค่เป็นกลุ่มทดลองเฉยๆ ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้ว… …การโจมตีครั้งนั้น เหตุผลมันคืออะไรกันแน่”
หลินยี่ยิ้มเหยียด “มันเป็นศัตรูของตระกูลลู่ แม่นายไปปล้นธุรกิจของครอบครัวอื่นมา จนเกือบจะล้มละลาย ทำให้มันตามืดบอดคิดแก้แค้น เขาใช้เงินก้อนสุดท้ายในการจ้างวานฆ่านาย”
ลู่เซิ่นรู้ว่าหลินยี่กับสูหยิงนั้นไม่ลงรอยกัน ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม ทำเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ
นี่เป็นสิ่งที่สูหยิงสามารถทำได้และเขาไม่แปลกใจ
ในช่วงปีแรก ๆ สูหยิงทำเรื่องอะไรเธอจะไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้สักนิด นั้นเธอมักจะบังคับให้คนอื่นหมดหวังทางอ้อม สิ่งนี้ทำให้เธอมีศัตรูมากมาย ต่อมาภายใต้อิทธิพลของลู่เหวย รูปแบบธุรกิจของเธอก็ลดความโหดร้ายลงไปมาก
เพราะเธอในช่วงปีแรกๆ ตระกูลลู่เกิดวิกฤตขึ้นมากมาย
เรื่องนี้มันเกิดผ่านไปนานมากแล้ว เขาตอนนี้ไม่สามารถไปค้นหาไล่ตามอดีตได้อีก
ท้ายที่สุด … ในตอนนี้ความคิดทั้งหมดของเขาอยู่ที่ฉินซี
เฟิง
เขาท่องชื่อองค์กรหลายครั้งในใจ จากนั้นมองไปที่ใบหน้าของชายคนนั้นในโทรศัพท์
ล้างแค้นเพื่อตัวเขาเอง และเพื่อ แก้แค้นให้ภรรยา
ชายคนนี้กลายเป็นศัตรูชั่วนิรันดร์ของลู่เซิ่น