บทที่ 1196 เขากำลังตามหา
การตรวจสอบร่องรอยของฉินซีถูกโอนย้ายให้กับทีมผู้ชำนาญตรวจสอบต่อไป สิ่งที่หลินหยังต้องทำก็มีเพียงแค่ กำหนดเวลาส่งรายงานให้กับลู่เซิ่น
ถึงอย่างไรก็มีเรื่องราวมากมายภายในบริษัทที่รอให้ลู่เซิ่นไปจัดการ ขาดเขาไปไม่ได้
ลู่เซิ่นไม่มีกะจิตกะใจจะจัดการงานเหล่านี้อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่สามารถละเลยมากเกินไปตามใจชอบ ทำได้เพียงแค่ฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าเพื่อจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย
ช่วงเวลานี้ ลู่เซิ่นรู้สึกถึงความอ่อนล้าที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนหน้านี้
โทรศัพท์มือถือสั่นครั้งหนึ่งกลางดึก ลู่เซิ่นหลับตาควานหาโทรศัพท์มือถือ เปิดข้อความมาอ่าน
หลินหยังเป็นผู้ส่งข้อความ คงจะพะวงว่าลู่เซิ่นพักผ่อนแล้วหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ได้โทรศัพท์มา เพียงแค่ส่งข้อความมาเท่านั้น
“ประธานลู่ ถ้าหากว่าทางด้านคุณมีเวลาล่ะก็ ขอให้ครุ่นคิดสักหน่อยว่าหลายวันมานี้ ในบรรดาคนที่คุณผู้หญิงมีปฏิสัมพันธ์ด้วยนั้น มีคนที่ไม่ปกติอะไรหรือไม่ นี่อาจจะกลายเป็นทางออกหนึ่ง”
ลู่เซิ่นอ่านข้อความแล้ว คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย
คนแปลกๆหรือ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้
ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาคิดมากที่สุดตอนที่อยู่บนเครื่องบินก็คือ ฉินซีถูกคนข้างกายคนไหนหลอกให้จากไปหรือไม่ ดังนั้นหลังจากกลับมา ก็ตรวจสอบยืนยันเรื่องนี้กับพ่อบ้านในทันที
แต่จากคำตอบของพ่อบ้านในตอนนั้น ในช่วงเวลานี้ ฉินซีแทบจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานแปลกหน้าคนไหน
แต่หลังจากผ่านการตรวจสอบด้วยตัวเขาเองไปรอบหนึ่ง ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่า…….มีคนบุกเข้ามา อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าต่อฉินซี
เพราะภายในห้องไม่มีร่องรอยการต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าเดิมฉินซีจะตั้งใจจากไปอยู่แล้ว แต่จากกระดาษโน้ตและผ้าเช็ดหน้าสองอย่างที่เป็นหลักฐานนี้ ตอนที่เธอจากไปจริงๆ ก็น่าจะถูกควบคุมประสาทแล้ว
พ่อบ้านบอกว่าฉินซีเดินออกมาจากห้องนอน อย่างนั้นก็หมายความว่า ผู้บุกรุกเคยมาที่ห้องนอน
แต่ว่าภายในห้องนอนไม่มีร่องรอยการขัดขืนเลยแม้แต่น้อยเช่นกัน ทั้งหมดล้วนสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
และความสะอาดแบบนี้ไม่เหมือนกับการเก็บกวาดของผู้บุกรุกด้วย
เพราะวิธีการพับผ้าเช็ดปากนั้นเป็นวิธีของคนใช้ในรีสอร์ทชิงหยวนโดยเฉพาะ คนภายนอกยากที่จะพับเป็น
กระทั่งผ้าเช็ดปากบนโต๊ะยังไม่ถูกทำให้เละเทะ อย่างนั้น……ฉินซีก็แทบจะไม่ได้มีการต่อต้านใดๆเลย
คนคุ้นเคยคนหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็เป็นคนที่ฉินซีเคยพบหน้าด้วย บุกเข้ามาในรีสอร์ทชิงหยวน ควบคุมฉินซี และพาเธอไป……
ถ้าหากว่าคิดแบบนี้ อย่างนั้นคนน่าสงสัยที่ปรากฏตัวข้างกายฉินซีในช่วงไม่กี่วันมานี้ก็จะมีขอบเขตใหญ่มากขึ้น
แต่ไม่กี่วันมานี้ เธอได้พบกับใครกัน
ลู่เซิ่นคิ้วขมวดเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงคำพูดที่พ่อบ้านบอกกับตัวเองในวันนั้น
ตอนบ่ายในวันที่ตัวเองจากไปนั้น ฉินซีออกไปข้างนอก……ไปบริษัท พีอาร์ของถังย่า
วันถัดมาตอนเช้า……..เธอก็ไปที่บริษัทพีอาร์อีกครั้งหนึ่ง ตอนที่กลับมานั้น ก็พบว่าผู้บุกรุกแอบอยู่ในห้องมืด
ตอนนั้นในใจเขาก็ร้อนรน เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ผิดปกติ เพียงแต่รู้สึกว่า ในเมื่อฉินซีจัดเตรียมนิทรรศการภาพถ่าย อย่างนั้นการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับถังย่า ก็เป็นเรื่องปกติมากเช่นกัน
แต่ตอนนี้เมื่อคิดให้ละเอียดดูแล้ว ก็คล้ายกับว่า…….จะผิดปกติไปบ้าง
ตัวเขาทำงานร่วมกับถังย่ามามากมายหลายครั้ง และเป็นเพราะความสามารถที่เป็นมืออาชีพของถังย่า ถึงได้แนะนำเธอให้กับฉินซี
ส่วนความเป็นมืออาชีพของถังย่านั้นปรากฏให้เห็นในทุกด้าน สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในนั้นก็คือ เธอแทบจะไม่รบกวนเวลาของลูกค้าเลย
การประชุมหรือการโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้มากมาย การสื่อสารมีประสิทธิภาพสูงมาก
งานนิทรรศการภาพถ่ายส่วนบุคคลนั้นไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนขนาดนั้น การประชาสัมพันธ์ที่ต้องทำก็ไม่ได้ยุ่งยากเกินไป ทำไมต้องไปที่บริษัทติดกันสองวันด้วย
ลู่เซิ่นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลกเล็กน้อย
หรือว่าถังย่ามีปัญหาอะไร
แม้ว่ารูปร่างถังย่าจะเล็กบางและเตี้ยเป็นอย่างมาก ดูแล้วเหมือนกับไม่มีความสามารถเพียบพร้อมที่จะลักลอบเข้ามาในรีสอร์ทชิงหยวนที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาได้ อีกทั้งบริษัทของเธอและบริษัทลู่ซื่อก็จับมือร่วมกันทำงานอย่างแน่นแฟ้นมาก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องลงมือโหดเหี้ยมกับฉินซี
แต่ลู่เซิ่นรู้ว่า ตัวเองไม่สามารถตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ และไม่สามารถตัดสินทุกอย่างจากภาพลักษณ์ที่แสดงออกมา
ในเมื่อเกิดความสงสัยต่อถังย่า อย่างนั้นก็ไม่สามารถปล่อยวางความเป็นไปได้นี้ได้
ดังนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ตั้งใจจะโทรศัพท์หาหลินหยัง ถึงได้พบว่าเป็นเวลาก่อนรุ่งสางแล้ว
……..ตัวเองถึงขั้นไม่ได้นอนอีกคืนหนึ่งแล้ว
ความวิตกกังวลในใจของลู่เซิ่นบดบังความอ่อนล้าทางกายทั้งหมด แทบจะไม่ได้หลับตาลงเลยสองวันติด เขาก็ไม่ได้รู้สึกลำบากยากเย็น
เพราะความรู้สึกเป็นห่วงฉินซีนั้น ปิดบังอาการทั้งหมดเอาไว้
เขาถอนหายใจเสียงเบา สุดท้ายแล้วก็เลื่อนผ่านปุ่มโทรออกไป
หลินหยังก็ไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลานานเหมือนกับตัวเองเช่นกัน
สุดท้าย เขาก็ตอบหลินหยังกลับไปเพียงข้อความหนึ่ง
“จัดการสักหน่อย ผมต้องการพบกับถังย่า”
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินหยังก็ยังไม่ได้นอน แทบจะตอบกลับข้อความในทันที “ครับ ผมจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้”
……..
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น ลู่เซิ่นและหลินหยังก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูบริษัทของถังย่า
ลู่เซิ่นไม่ได้รีบร้อนเข้าไป แต่เงยหน้าพิจารณามองสภาพแวดล้อมรอบด้าน
อาคารภายนอกของสวนเหวินช่วงไม่ได้ซ่อมแซมใหม่ จงใจรักษาความเก่าแก่ของกำแพงด้านนอกเอาไว้ ดังนั้นเมื่อมองดูแล้วจึงรู้สึกว่ามีอายุยาวนานมาก
แต่ลู่เซิ่นไม่ได้ชื่นชมอาคารหลังนี้
เขากำลังมองหา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าให้กับหลินหยัง
หลินหยังเข้าใจในทันที เหลือบหางตามองไปที่มุมหนึ่ง
ข้างอาคารบริษัทถังย่า มีกล้องวงจรปิดที่ไม่สะดุดตาอยู่ในมุมหนึ่ง
อาคารหลังนั้น เป็นของตระกูลลู่
และเมื่อเขาเก็บสายตากลับมา ถังย่าก็เดินออกมาจากด้านในประตูบริษัท
สีหน้าของเธอยังคงมีรอยยิ้มสุภาพเรียบร้อยที่เหมือนกับสวมหน้ากากเอาไว้ “ประธานลู่ วันนี้มีธุระอะไรถึงได้มาด้วยตัวเองหรือคะ”
แต่ก่อนลู่เซิ่นไม่เคยรู้สึก แต่ว่าเมื่อมองดูท่าทางของถังย่าในตอนนี้แล้ว กลับรู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติไป
เธอมองดูแล้วสงบนิ่งมากเกินไป ถ้าหากไม่รู้เรื่องของฉินซีเลยแม้แต่น้อย อย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถ้าหากว่าเธอเป็นคนร้ายที่อยู่เบื้องหลัง……
ก็สามารถอธิบายได้ว่า คนคนนี้ ลุ่มลึกเสียจนยากจะคาดเดาได้
ดังนั้นในใจของลู่เซิ่นจึงมีความระแวดระวังขึ้นมา
แต่เพื่อเป็นการไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น สีหน้าของเขาจึงดูแล้วไม่แตกต่างจากวันวานเลย “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก เพียงแค่มีคำถามอยากจะถามคุณสักสองสามข้อเท่านั้นเอง”
ถังย่ายังคงยิ้มบางๆ คล้ายกับไม่มีท่าทางกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว ผายมือไปยังทิศทางของบริษัท “อย่างนั้นไม่สู้ประธานลู่เข้าไปพูดคุยด้านไหนไหมคะ”
เป็นธรรมดาที่ลู่เซิ่นจะน้อมรับด้วยความยินดี
การตกแต่งภายในบริษัทถังย่าไม่ได้แตกต่างอะไรจากตอนที่ฉินซีมาในไม่กี่วันก่อนหน้านี้ โต๊ะทำงานมีพนักงานนั่งจ้องมองคอมพิวเตอร์สำนักงานอย่างใจจดใจจ่อ ดูแล้วไม่มีความแตกต่างอะไรจากบริษัทพีอาร์ทั่วไปบริษัทหนึ่ง
แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ปล่อยวางความระแวดระวังลงได้ง่ายขนาดนั้น
เขาดูคล้ายกับว่าไม่ได้พิจารณามองร่องรอยบนโต๊ะ แต่ความจริงแล้ว……..กำลังมองหาตำแหน่งกล้องวงจรปิดทุกตัวที่อยู่ในบริษัทนี้
ถังย่าแนะนำสภาพของบริษัทให้เขาฟังอย่างสุภาพสองสามประโยค ถัดมาก็นำเขาไปในห้องประชุมของบริษัท
ประตูห้องประชุมปิดลง สีหน้าของเธอยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เมื่อนั่งในที่นั่งตรงข้ามกับลู่เซิ่นแล้ว ก็เอ่ยว่า “ประธานลู่…….มีเรื่องอะไรอีกหรือคะ ต้องการดำเนินการประชาสัมพันธ์หรือไม่คะ”
ครึ่งปีมานี้ การร่วมมือระหว่างบริษัทลู่ซื่อและบริษัทถังย่าแทบจะเรียกได้ว่าใกล้ชิดกันมาก
เดิมเธอเป็นผู้ร่วมงานที่ลู่เซิ่นไว้วางใจ