บทที่ 1195 คุณฟังผมก็พอแล้ว
“จ้านเซินหรือ” ช่วงแรกฉินซีอดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกประหลาดใจออกมาบนใบหน้า “ทำไมถึงเป็นคุณกัน……”
บนใบหน้าของจ้านเซินประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ คล้ายกับรู้สึกว่าการได้เห็นอาการตกตะลึงของฉินซีนั้นน่าสนุก เขาถามกลับว่า “ทำไมหรือ ไม่สามารถเป็นผมได้หรือ”
ฉินซีไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เพียงแค่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ เพียงแค่คิดไม่ถึง……..”
เธออยู่ภายในองค์กรมานานขนาดนี้ แน่นอนว่ารู้ว่าจ้านเซินเกือบจะรับช่วงต่อทั้งหมดขององค์กรแล้ว กลายเป็นผู้นำคนใหม่
เดิมเธอนึกว่าระยะห่างของตัวเองกับจ้านเซินจะยิ่งไกลกันขึ้นเรื่อยๆเพราะเหตุนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…….กลับได้พบกับเขาในที่แห่งนี้
“ตะลึงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร” จ้านเซินยิ้มเรียบๆ “หลังจากนี้ก็ปรับตัวสักหน่อยก็ได้แล้ว”
ชั่วขณะหนึ่งที่ฉินซียังไม่ทันได้รู้สึกตัว “หลังจากนี้หรือ”
จ้านเซินเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว ภารกิจของคุณหลังจากนี้ ล้วนเป็นผมที่มอบหมายให้”
ฉินซีกลับสับสนยิ่งกว่าเดิม “แต่ฉันเป็นหน่วยข่าวกรองนะ……..คนที่จัดสรรภารกิจให้ฉัน ไม่ควรจะเป็นคนของหน่วยข่าวกรองหรือ………”
จ้านเซินยิ้มอีกครั้ง “นั่นเป็นกฎข้อบังคับของคนอื่น คุณฟังผมก็พอแล้ว”
ฉินซีทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับคำ
ที่จริงแล้ว การพบกับจ้านเซินในครั้งนี้ ฉินซีมีความรู้สึกแปลกใจมากกว่าประหลาดใจ
ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะว่าช่วงที่เธอใจเต้นกับจ้านเซินในขณะที่เป็นเด็กสาวนั้นเลือนรางไปตามกาลเวลาบ้างแล้ว เธอยังสงสัยกระทั่งตัวเองในตอนนั้นว่า เพียงเพราะตอนนั้นจ้านเซินมักจะอยู่เป็นเพื่อนข้างกายตัวเองบ่อยๆ เลยเข้าใจผิดไปว่าความสนิทสนมเป็นการใจเต้น อีกด้านหนึ่งก็เพราะ……เธอรู้สึกว่าจ้านเซินเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
แม้ว่าตั้งแต่แรกเริ่มที่ตัวเองเดินเข้ามาในห้องทำงาน บนใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้มบางๆประดับอยู่ แต่ฉินซีมักจะรู้สึกว่า รอยยิ้มนั้นเยียบเย็นไร้อุณหภูมิ
จ้านเซินเหมือนกับสวมใส่หน้ากากจอมปลอมไว้บนใบหน้า เพราะเขาจำเป็นต้องใช้สีหน้าความรู้สึกนี้มาดำเนินบทสนทนา
ฉินซีไม่สามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกและอารมณ์ที่แท้จริงของเขาว่าเป็นอย่างไร
แต่จ้านเซินเป็นถึงผู้นำคนใหม่ขององค์กร
เขาต้องจัดการกับงานของตัวเอง แม้ว่าฉินซีจะไม่ยินยอม เขาก็มีวิธีเช่นกัน
ดังนั้นฉินซีจึงไม่ต่อต้าน
และก็เริ่มจากตอนนั้น การที่ฉินซีได้พบหน้ากับจ้านเซินภายในองค์กร เยอะขึ้น
ในภายหลังฉินซีถึงเข้าใจ คาดว่าเป็นเพราะตอนนี้จ้านเซินได้รับสิทธิ์ในการควบคุมดูแลเกือบทั้งองค์กรจากบิดา และมีจิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นไหวแล้ว
ในตอนนี้ เขายินยอมใกล้ชิดกับใครเล็กน้อย ก็ไม่มีใครสามารถชี้นิ้วสั่งหรือวิพากษ์วิจารณ์ตามใจชอบได้แล้ว
ดังนั้นเริ่มตั้งแต่ช่วงเวลานี้ เขาก็เริ่มที่จะไม่ปิดบังการแสดงความสนิทสนมที่มีต่อฉินซีอีก
ภารกิจของฉินซีที่ครอบคลุมหลายระดับ ก็มีเขาเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเอง ปกติแล้ว ขอเพียงแค่มีโอกาส ก็จะขวางฉินซีเอาไว้ ไปกินข้าวกับเธอ หรือรอหลังจากเธอฝึกซ้อมเสร็จแล้ว ก็ไปพูดคุยกับเธอ
แต่ว่า…….มีบางสิ่ง เมื่อสายไป ก็ดึงกลับมาไม่ได้แล้ว
ความคิดของฉินซีไม่เหมือนกับแต่ก่อนอีกแล้ว ส่วนจ้านเซินคนนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
นิสัยของเขาโหดเหี้ยม ท่าทีที่ไร้เมตตาของเขานั้นยิ่งปรากฏออกมาให้ผู้อื่นเห็นมากขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนด้านของความเป็นคนกลับน้อยลงเรื่อยๆ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งเขาแสดงออกว่าสนิทสนมกับฉินซีมากเท่าไร กลับยิ่งทำให้ฉินซีหวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่บ้าง
เธอรู้ว่าจะคบหากับคนปกติคนหนึ่งได้อย่างไร แต่กลับไม่รู้ว่าจะคบกับหุ่นยนต์คนหนึ่งอย่างไรถึงจะเหมาะสม
โชคดีที่ชีวิตของฉินซีไม่ได้ถูกขังเอาไว้ในองค์กรทั้งหมด
นอกจากตอนที่มีภารกิจ เธอยังคงใช้ชีวิตตามเส้นทางชีวิตเดิมของตัวเอง เข้าเรียนมหาวิทยาลัย รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ กลับบ้านในสุดสัปดาห์ และทานข้าวกับเหยาหมิ่นด้วยกันมื้อหนึ่ง
และก็เป็นตอนนี้เองที่ เธอได้รู้จักกับหซู่หนาน
หซู่หนานไม่เหมือนกับจ้านเซินเลยแม้แต่น้อย
เขามีรูปร่างซูบผอม หน้าตาสะอาดสะอ้าน ชอบสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว มีท่าทางสุภาพเรียบร้อยในตอนที่สนทนากับเด็กสาว กับจ้านเซิน ก็เกือบจะเป็นคนสองแบบ
ฉินซีที่รีบร้อนหนีจากจ้านเซินในตอนนั้น หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับหซู่หนาน ก็ยิ่งสนิทสนมกับหซู่หนานมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับหลบหนีอย่างไรอย่างนั้น
โชคดีที่ช่วงนั้นภายในองค์กรไม่ค่อยสงบ จ้านเซินถูกเรื่องวุ่นวายมัดตัวเอาไว้ จึงไม่ได้จับตามองดูชีวิตของฉินซีละเอียดมากนัก ดังนั้นหซู่หนานจึงรอดพ้นมาได้
ส่วนทางฝ่ายจ้านเซินที่เพิ่งจะจัดการเรื่องราวทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย เหยาหมิ่นก็เกิดเรื่องขึ้นมา
และในภายหลัง……ก็คือช่วงแห่งความทรงจำที่น่าเศร้า
ฉินซียืนยันได้ว่า การที่ตัวเองหัวใจเต้นแรงกับจ้านเซินนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากอ้อมกอดนั้น และจบลงในคืนที่ฟางฟางกระโดดตึก
ผู้ชายที่ปกป้องไม่ได้แม้กระทั่งศพของมารดา ไม่มีทางที่จะทำให้เธอสบายใจได้
ดังนั้นที่จริงแล้วจ้านเซินคิดผิดทาง
การที่ฉินซีปล่อยมือจากเขานั้นเกิดขึ้นก่อน ส่วนตกหลุมรักลู่เซิ่นนั้นเกิดขึ้นในภายหลัง
แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีลู่เซิ่นแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉินซีจะกลับไปอยู่ด้วยกันกับเขา
เพียงแต่จ้านเซินในตอนนี้ ยังไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นเอง
ส่วนความทรงจำที่อยู่ในความฝันของฉินซีก็ยังคงดำเนินต่อไป
การพบเจอกันของเธอกับลู่เซิ่น พบหน้ากันอีกครั้ง แต่งงาน จากลา
ทุกเรื่องราวล้วนฉายผ่านสมองของเธอรอบหนึ่ง
สุดท้ายแล้วฉินซีก็ไม่อาจจะไม่ยอมรับได้ว่า เธออาจจะเคยหวั่นไหวกับจ้านเซิน มีใจให้กับหซู่หนานอยู่บ้าง แต่คนที่เธอเคยรักจริงๆนั้น มีเพียงแค่ลู่เซิ่น
ไม่อย่างนั้นตอนที่รู้ทั้งรู้ว่าลู่เซิ่นหักหลังตัวเอง ก็คงจะไม่ฝันถึงเขาในยามค่ำคืน น้ำตารินไหลที่หางตา มุมปากกลับมีรอยยิ้มประดับอยู่หรอก
หลังจากที่ความฝันอันยาวนานสิ้นสุดลง ฟ้าก็สว่างแล้ว
ฉินซีไม่ได้ปิดผ้าม่าน ตอนที่แสงอาทิตย์ค่อยๆโผล่ขึ้นมา เธอก็ขยับตัวไปมา ลืมตาขึ้นเล็กน้อย
วินาทีแรกสุดนั้น เธอยังไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่
เพียงแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เธอคุ้นชินกับการลืมตาก็สามารถมองเห็นภาพที่ตัวเองแขวนไปบนหัวเตียงภาพนั้นแล้ว คราวนี้เมื่อเห็นกำแพงสีขาวโพลนที่ว่างเปล่า จึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันไปวินาทีหนึ่ง
แต่เธอก็นึกขึ้นได้ในเวลาต่อมา
……..ตัวเองไม่ได้อยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนแล้ว
เธอถูกขังเอาไว้ในเกาะเล็กๆที่ไกลนับพันลี้
ภาพนั้นยังดีอยู่ไหมนะ
ฉินซีคิดถึงขึ้นมากะทันหัน
หลังจากลู่เซิ่นกลับไปแล้ว จะมองการกระทำของตัวเองที่แขวนภาพไว้บนหัวเตียงอย่างไรกันนะ
จะรู้สึกว่าน่าขบขันหรือไม่
และคนรักใหม่ของเขา คู่หมั้นของเขาคนนั้น จะรู้สึกว่าขวางหูขวางตาบ้างหรือเปล่า
ถ้าหากว่าใช่ล่ะก็ ภาพนั้น ครึ่งหนึ่งก็คงถูกโยนทิ้งไปสินะ
เธอมีคำถามมากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่มีข้อใดที่ได้คำตอบ
เพราะว่าเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดของเธอถูกโยนทิ้งไปหมดแล้ว ส่วนภายในหอพักก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถใช้ติดต่อกับโลกภายนอกได้
ฉินซีก็เหมือนกับเกาะแห่งนี้ ถูกทำให้แยกตัวไปโดยสิ้นเชิง
………
ณ ประเทศF ที่อยู่ห่างไปนับพันลี้ ลู่เซิ่นกำลังนอนอยู่บนเตียง มองภาพที่ฉินซีพะวงถึงภาพนั้น
สีหน้าของเขาอ่อนเพลียเล็กน้อย มุมปากโค้งลงนิดๆ อธิบายได้ว่าสภาพจิตใจของเขาย่ำแย่มาก
หลินหยังตรวจสอบทั้งคืน มั่นใจแล้วว่าไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดตัวไหนที่ถ่ายร่องรอยของฉินซีเอาไว้ได้
เธอเหมือนกับคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้ใหญ่คนหนึ่ง จะหายไปในอากาศแบบนี้ได้อย่างไรกัน
คำอธิบายที่สมเหตุผลเพียงข้อเดียวก็คือ…..เธอไม่ใช่คนที่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงการคาดเดาที่เลวร้ายที่สุดกับเขา แต่ลู่เซิ่นกลับไม่สามารถห้ามความคิดได้
ฉินซี……คุณยังสบายดีอยู่ไหม
ผมคิดถึงคุณมาก