บทที่ 1186 ที่จริงแล้วเขารู้
“คุณหมอ เป็นแบบนี้ค่ะ!” เสียงของอานหยันแฝงไปด้วยความร้อนรนอยู่หลายส่วน “ทำไมอาการป่วยถึงไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยเลยล่ะคะ ทั้งยังเป็นหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆด้วย”
ชายสวมชุดกาวน์ก้มลงไป ถามคำถามฉินซีสองสามประโยค
ฉินซีกลับไม่ได้มองเขา เพียงแค่หันหน้า พูดเองเออเองกับอากาศ
“ฉันรู้ค่ะว่า พวกเขาล้วนเหมือนกัน” ฉินซีพยักหน้ากับอากาศ “ดังนั้นฉันเลยไม่เชื่อพวกเขา”
อานหยันจ้องคุณหมอเขม็ง น้ำเสียงก็ตึงเครียดเล็กน้อย “ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มีบางครั้งฉันรู้สึกว่า เธอไม่ได้พูดกับคนเพียงแค่คนเดียว บางครั้งฉันก็จะได้ยินชื่อฟางอะไรเนี่ยแหละค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นใคร เป็นคนที่เธอจินตนาการออกมาเองกลางอากาศใช่หรือไม่คะ”
ชายสวมชุดกาวน์กลับไม่ได้ตอบคำถามของอานหยันในทันที แต่พูดกับฉินซีต่อไป ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รับการตอบสนอง
เมื่อถูกมองข้ามไปสักพัก เขาถึงได้ยืดตัวขึ้นตรง หันหน้ากลับมามองอานหยันนิ่งๆ ตอบว่า “นี่คืออาการปกติที่จะปรากฏขึ้นในขณะที่ทำการรักษา คุณไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป มากสุดก็สองวัน อาการป่วยของเธอก็จะดีขึ้น”
อานหยันคิ้วขมวดเป็นปม แววตาปรากฏความสงสัยขึ้นหลายส่วน “หรือคะ แต่ตอนนี้ก็อยู่ที่โรงพยาบาลนานขนาดนี้ ลึกซึ้งขนาดนี้แล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถดีขึ้นได้หรือ”
ชายสวมชุดกาวน์มองไปที่เธออย่างสงบ สีหน้าเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ผมเข้าใจความร้อนใจของคุณ แต่ขอให้คุณเชื่อในความเป็นมืออาชีพของพวกเรา”
สายตาของอานหยันไม่เชื่ออยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงแค่พยักหน้าอย่างลังเล
เธอก็รู้เช่นกันว่า การรักษาอาการป่วยระยะยาวแบบนี้ เปลี่ยนคุณหมอกลางคันไม่ดีเท่าไร เมื่อเปลี่ยนแล้ว ก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจอาการป่วยใหม่อีกครั้งหนึ่ง อาจจะรักษาผิดพลาด จนทำให้เสียเวลาได้
ตอนนี้สมาธิของเธอก็เบนออกจากร่างของฉินซี และพบกับจ้านเซินที่ยืนอยู่ด้านหลังชายสวมชุดกาวน์
จ้านเซินไม่ได้สวมชุดกาวน์สีขาว ดูจากบุคลิกภาพแล้วไม่ใช่คุณหมอ ทำให้อานหยันเกิดความระแวดระวังขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยปากถาม “ท่านนี้คือใครคะ”
ชายหนุ่มชุดกาวน์สีขาวหาเหตุผลมาอธิบายคร่าวๆ “เป็นเพื่อนของผม มีเรื่องเร่งด่วนจึงมาหาผมครับ”
อานหยันพยักหน้าอย่างลังเล มองไม่ออกว่าเชื่อคำอธิบายของคุณหมอหรือไม่ กวาดตามองจ้านเซินไปรอบหนึ่ง และหันหน้ากลับไปมองฉินซีใหม่อีกครั้ง
“ผมจะเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาตามอาการของเธอ…….” คุณหมอพยายามอธิบายให้อานหยันฟังอย่างสุดความสามารถ จึงทำให้สีหน้าเธอไม่ได้สงสัยขนาดนั้นอีก และลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง
จ้านเซินเดินตามเขากลับไปยังห้องทำงานด้วยกัน เมื่อประตูปิดลง สีหน้าก็เคร่งขรึมลง “ทำไมถึงได้กลายเป็นร้ายแรงขนาดนี้กัน”
ชายสวมชุดกาวน์ส่ายหน้า “สามวันมานี้ผมใช้วิธีการรักษาที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ไม่ได้รักษาปัญหาพื้นฐานที่สุด แต่ดูจากการตรวจรักษามาหลายครั้ง ฉินซี……..มีปมในใจที่ยากจะแก้ไข แต่ตอนนี้จิตใจของเธอไม่มั่นคงเกินไปแล้ว ไม่มีทางที่จะบอกกับผมว่ามีปัญหาอะไรและจะแก้ไขอย่างไรกันแน่อย่างปกติได้”
จ้านเซินฟังถึงตรงนี้แล้ว…….ที่จริงแล้วเขารู้
ปมในใจของฉินซี…….ที่จริงแล้วเขารู้
คืนวันนั้น เธอบอกทุกอย่างกับตัวเองหมดแล้ว
การตายของฟางฟางและเหยาหมิ่นกลายเป็นกรงที่ขังเธอเอาไว้ และสิ่งสุดท้ายที่ล็อคกรงนี้เอาไว้ก็คือ เธอลาออกจากองค์กรไม่ได้
นี่กลายเป็นอาการป่วยทางจิตใจของเธอ
“เธอในตอนนี้ไม่ได้มีภาพหลอนว่าคุณแม่ของเธออยู่ข้างกายเธอเพียงคนเดียวแล้ว ยังมีเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง” ชายสวมชุดกาวน์เอ่ยต่อ “นี่ก็หมายความว่า เธอปิดตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม จ้านเซินไม่สามารถยื้อเอาไว้ได้แล้ว พวกเราจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาของเธอให้เร็วที่สุด”
จ้านเซินเงียบไปหลายวินาที ตอบเสียงทุ้ม “ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็…….เธอจะเปลี่ยนไปมีสภาพอย่างไร”
ชายสวมชุดกาวน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา น้ำเสียงจริงจังอย่างน้อยมากที่จะได้เห็น “อาการของฉินซีในตอนนี้ ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของผม ถ้าหากว่าใช้วิธีการสะกดจิตมาคลี่คลายปมในใจของเธอ ผมมั่นใจว่า อาการของเธอจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากภายในสองวัน แต่ถ้าหากว่าใช้วิธีการรักษาแบบอนุรักษ์นิยมต่อไปล่ะก็……..น่ากลัวว่าอาการป่วยจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้”
“ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือ” จ้านเซินเหลือบตาขึ้นมองคุณหมอ
คุณหมอหลับตาลง อธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเล็กน้อย “ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ เธออาจจะมีอาการประสาทหลอน ทั้งยังยากที่จะรักษาให้หายได้”
จ้านเซินไม่พูดอะไรแล้ว ก้มหน้าลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
สุดท้ายแล้วคุณหมอก็ยังมีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของผู้เป็นแพทย์ ไม่สามารถใจเย็นเหมือนกับจ้านเซินได้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนว่า “จ้านเซิน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนปกติล่ะก็ เห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งกระโดดตึก อาจจะกลายเป็นเงามืดในใจไปตลอดชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินซีที่มองเห็นคุณแม่ของตัวเองโดดลงไปต่อหน้าต่อตา เธอไม่ได้เป็นบ้าในตอนนั้นก็ถือว่าเข้มแข็งมากแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของเธอแล้ว ไม่ใช่หรือ”
จ้านเซินกลับแค่เงยหน้ามองเขา ไม่ได้แสดงท่าทีออกมาในทันที
คุณหมอคิดว่าตัวเองพูดในสิ่งที่ควรพูดชัดเจนมากแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่รอการตัดสินใจสุดท้ายของจ้านเซินอย่างเงียบๆ
แต่จ้านเซินกลับทำเหมือนกับว่าตัดสินใจอะไรที่สำคัญมากกว่านี้อีกเรื่องหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ครุ่นคิดอยู่นาน ถึงได้เอ่ยว่า “พรุ่งนี้สะกดจิตก่อนหนึ่งครั้ง ผมจะดูอยู่ข้างๆ ค่อยตัดสินใจแล้วกัน”
แม้ว่าจะไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่ก็ถอยให้แล้วเช่นกัน คุณหมอจึงพูดอะไรลำบาก ทำได้เพียงแค่พยักหน้า
………
วันรุ่งขึ้น ฉินซีถูกพามาที่ห้องตรวจโรค
ภายใต้การห้ามปรามอย่างอ้อมค้อมของคุณหมอ อานหยันจึงไม่ได้เข้าไปในห้องตรวจโรคด้วย ดังนั้นจึงไม่ทันได้เห็นจ้านเซินที่มารออยู่ในนั้นล่วงหน้า
ทว่าฉินซีมองเห็น แต่ทำเหมือนไม่เห็นจ้านเซิน
“คุณนอนลงที่นี่ก่อน” คุณหมอเหลือบมองจ้านเซินครั้งหนึ่ง และหันหน้ากลับมามองฉินซี “อีกครู่หนึ่งฟังคำกำชับของผม ผ่อนคลายจิตใจก็พอแล้วครับ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการสะกดจิตก่อนหน้านี้ของคุณหมอมีผลขึ้นมา หรือว่าฉินซีสามารถสังเกตเห็นถึงความเมตตาที่คุณหมอมีต่อเธอ เธอจึงทำตามคำพูดของคุณหมออยู่หลายส่วน เดินไปยังเก้าอี้ผ้าใบที่อยู่ด้านหน้า เอนนอนลงตามที่คุณหมอบอกไว้
จ้านเซินยืนอยู่ไม่ไกลนัก มองไปยังการกระทำระหว่างฉินซีและคุณหมอด้วยสีหน้าเย็นชา
คราวนี้คุณหมอไม่ได้มองไปที่จ้านเซินอีก แต่กลับตั้งใจเริ่มสะกดจิตฉินซี
เขาจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ถึงจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อจิตใจของฉินซีมากขึ้น และขุดค้นนำเรื่องที่ฉินซีให้ความสำคัญจริงๆออกมา
ฉินซีไม่มีท่าทีต่อต้านการชักนำของเขา ดังนั้นจึงเข้าสู่สภาพการถูกสะกดจิตอย่างรวดเร็ว
คุณหมอเริ่มถามนำช้าๆ “เรื่องที่คุณอยากทำมากที่สุดในระยะนี้คือเรื่องอะไร”
คราวนี้ฉินซีพูดจาฉะฉาน ถ้าหากไม่ได้เห็นท่าทางเธอที่นอนหลับตาอยู่ ฟังแต่เสียงอย่างเดียว ก็ยังต้องสงสัยว่าเธอมีสติอยู่ใช่หรือไม่
“ฉันอยากจะลาออกจากองค์กร” เสียงของเธอไม่ดัง ทว่าเหมือนกับโยนระเบิดลูกใหญ่ลงในห้อง ทำให้ทั้งห้องเงียบสนิทภายในเสี้ยววินาที
คุณหมอคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงเงยหน้ามองจ้านเซินครั้งหนึ่งตามปฏิกิริยาตอบสนอง