บทที่ 1182 ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แต่ฉินซีไม่ได้สนใจสีหน้าความรู้สึกของอานหยัน ยังคงพูดเองเออเองต่อไปว่า “ฉันได้ยินคุณแม่พูดว่า ถ้าฉันตายไปแบบนี้แล้วใครจะจัดการเก็บศพให้พวกเรากัน อย่ารบกวนอานหยันของพวกเราอีกเลย”
อานหยันเจ็บปวดใจจนแทบทนไม่ไหว ไม่รู้ว่าจะปลอบใจเธออย่างไรดี จึงทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า “ไม่ได้รบกวนเลย จะรบกวนได้อย่างไรกัน…….”
ฉินซียังคงพูดต่อไป เหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเธอ “ดังนั้น อย่างน้อยก่อนที่จะให้คุณแม่ฉันจากไปอย่างสงบ ฉันจะไม่ทำเรื่องโง่ๆหรอก เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”
อานหยันกลับไม่ได้โล่งใจเพราะคำพูดของเธอ แต่กลับยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก
“แม่คะ……” ฉินซีประคองกล่องบรรจุเถ้ากระดูกในมือของมาอย่างรอบคอบ เอ่ยกับตัวเองเสียงเบา คล้ายกับว่ากำลังพูดกับเหยาหมิ่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น “แม่วางใจเถอะค่ะ หนูจะไม่ใช้เรื่องของคุณแม่ไปรบกวนคนอื่นอีกแล้ว หนูจะตั้งใจส่งคุณแม่ไปเอง”
อานหยันมองใบหน้าด้านข้างของเธอแล้ว ในใจก็ถอนหายใจยาว
ให้เวลาเธออีกสักพักหนึ่ง ก็คงจะดีขึ้นล่ะมั้งนะ
เธอทำได้เพียงแค่อธิษฐานในใจแบบนี้
แต่ว่า……เวลาผ่านไปนานหลายวันแล้ว อาการของฉินซีกลับไม่ได้ดีขึ้น แต่มีแนวโน้มหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
แรกเริ่มนั้นเธอเพียงแค่พูดคุยกับกล่องบรรจุเถ้ากระดูกปีศาจ จากนั้นก็ค่อยๆพูดคุยกับอากาศ
จนกระทั่งคืนวันที่สามตอนกลางคืน
อานหยันทำกับข้าวไม่เป็น จึงออกไปซื้อกับข้าวกลับมาเล็กน้อย เพื่อดูแลสุขภาพของฉินซีในหลายวันมานี้
เธอยังคงทำเหมือนกับสองวันก่อนหน้านี้ เมื่อวางอุปกรณ์ทานอาหารสำหรับสองคนไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ก็เรียกฉินซีมานั่ง
ฉินซีมองไปรอบๆครั้งหนึ่งแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นมากะทันหันว่า “ทำไมถึงได้มีอุปกรณ์ทานอาหารเพียงแค่สองชุดล่ะ”
อานหยันคิ้วขมวดเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่ามีแค่พวกเราสองคนหรือ”
ฉินซีส่ายหน้า “อย่างนั้นคุณแม่ของฉันจะทำอย่างไร”
ขนอ่อนที่อยู่ตามแผ่นหลังของอานหยันลุกขึ้นมาตามปฏิกิริยาตอบสนองภายในไม่กี่วินาที
“ฉินซี…….” เธอเอ่ยอย่างยากลำบาก “คุณป้าเสียชีวิตไปแล้ว เธอ………”
ฉินซีกลับตัดบทอย่างรวดเร็ว “ห้องครัวของเธอไม่มีตะเกียบเหลือหรือ”
เธอพูด พลางเดินไปยังห้องครัว
อานหยันมองแผ่นหลังของเธอ และแอบตัดสินใจเงียบๆว่า พรุ่งนี้จะพาเธอไปพบกับจิตแพทย์สักหน่อย……
เช้าวันรุ่งขึ้น อานหยันพาฉินซีออกจากบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลจงซิน โดยใช้เหตุผลในการไปดูสุสาน
เมื่อคืนเธออดหลับอดนอน ค้นคว้าข้อมูลไปค่อนคืน ก็พบว่าโรงพยาบาลจงซิน แผนกจิตเวช มีชื่อคุณหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในการรักษาอาการป่วยทางด้านนี้ จึงใช้วิธีการบางอย่างจนยื่นบัตรผู้ป่วยได้สำเร็จ
ฉินซีลงจากรถแล้ว ก็รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง จึงหันหน้ามามองอานหยัน “ไม่ใช่ว่าไปดูสุสานหรอกหรือ ทำไมถึงมาโรงพยาบาลล่ะ”
อานหยันพูดอ้างหลอกเธอไปเรื่อย “ฉันรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย จึงมาหาหมอน่ะ”
ฉินซีนั้นจิตใจไม่ค่อยปกติอยู่บ้าง จึงไม่ได้ถามอะไรมาก พยักหน้าและเดินตามอานหยันเข้าไปในโรงพยาบาล
อานหยันแอบโล่งใจเงียบๆ และรีบพาฉินซีไปพบกับคุณหมอที่นัดเอาไว้
คุณหมอดูแล้วเยาว์วัยกว่าในข้อมูลเล็กน้อย เขาเชิญให้ฉินซีนั่งลง พูดคุยสอบถามคำถามเธอไปหลายข้อ
ฉินซีคล้ายกับว่าสงสัยเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอานหยันต้องการมาหาหมอ แต่ทำไมถึงได้ถามคำถามเธอกัน
คุณหมอหันไปมองอานหยันครั้งหนึ่ง อานหยันก็เข้าใจความหมายในทันที จึงหันหน้าไปเอ่ยกับฉินซีว่า “เธอไปรอฉันที่หน้าประตูแปปนึงได้ไหม”
ฉินซีคิดเพียงแค่ว่า ในที่สุดอานหยันก็จะเริ่มตรวจอาการป่วยแล้ว จึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไป โดยไม่ได้โต้แย้งอะไร
รอจนประตูปิดลงแล้ว อานหยันก็พูดคุยกับคุณหมอเกี่ยวกับอาการของฉินซีในหลายวันมานี้
คุณหมอก้มหน้าจดบันทึก พลางสอบถามอีกหลายอย่าง รอจนถามไปพอสมควรแล้ว ถึงได้ถอนหายใจ และเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “อาการแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะได้รับความสะเทือนใจมากเกินไป ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่สามารถยอมรับความจริงได้ครับ”
ในใจอานหยันก็เดาได้รางๆ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยถามต่อว่า “อย่างนั้น แบบนี้จะต้องทำอย่างไร ถึงจะสามารถทำให้เธอกลับเป็นปกติได้คะ”
คุณหมอพลิกเอกสาร “ให้ผู้ป่วยพักที่โรงพยาบาลสักสองสามวัน เพื่อที่ผมจะได้สังเกตอาการอีกหน่อย ส่วนเรื่องที่ว่าจะรักษาอย่างไรนั้น…..ผมยังต้องดูสภาพร่างกายของผู้ป่วยก่อนครับ”
อานหยันประหลาดใจและลำบากใจอยู่บ้าง “แค่ให้เธอออกมาจากบ้านในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้ว จะให้เธออยู่ที่นี่…..อาจจะยากมากหน่อยนะคะ”
สีหน้าความรู้สึกของคุณหมอกลับสงบนิ่งมากกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้มาก เขาเพียงแค่เงยหน้ามองอานหยันครั้งหนึ่งอย่างเฉยเมย พลางเอ่ยปากว่า “ให้เธอเข้ามา ผมจะพูดคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักครู่ก็ได้แล้วครับ”
แน่นอนว่าอานหยันรับปาก และออกไปเรียกฉินซีเข้ามา
ฉินซีไม่ทราบสาเหตุก็เดินตามเข้าไปในห้องตรวจ
อานหยันค่อยๆปิดประตูลง
แม้ว่าตัวอานหยันจะอยู่ในสำนักข่าวกรอง แต่ก็ไม่ได้คิดว่า คุณหมอมีปัญหาอะไร
จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะคิดไม่ถึงว่า คุณหมอคนนี้ไม่เพียงแต่เป็นคุณหมอผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนในองค์กรอีกด้วย
ที่จริงแล้ว การที่ฉินซีได้พบกับชายสวมชุดกาวน์สีขาวในภายหลัง
ไปจนถึงเรื่องที่เธอพาฉินซีมาพบกับคุณหมอท่านนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ในฐานะที่ฉินซีเป็นพนักงานหลักคนหนึ่งในองค์กร ขณะที่สติสัมปชัญญะของเธอเข้าสู่ช่วงที่ไม่มั่นคงขึ้นมาในหลายวันนี้ เธอก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดมากที่สุดจากองค์กรมาโดยตลอด
คนในองค์กรกลัวว่าภายใต้จิตใจที่ไม่มั่นคงของเธอ เธอจะเปิดเผยสถานการณ์ขององค์กรออกไป ดังนั้นจึงจับตามองเครือข่ายอินเทอร์เน็ตภายในบ้านของอานหยันเป็นพิเศษ เมื่อพบว่าเธอมีความคิดที่จะพาฉินซีไปโรงพยาบาล ก็รีบส่งข้อมูลไปในทันที ค่อยๆชักนำเธอให้พาฉินซีมาส่งให้กับคุณหมอที่อยู่ในองค์กรในที่สุด
ดังนั้นอานหยันจึงไม่รู้ว่า ภายหลังจากที่เธอผลักประตูออกไปอีกครั้งในไม่มีกี่นาทีนั้น ฉินซีก็รับปากว่าจะพักอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างว่าง่าย เพราะคุณหมอเพิ่มการสะกดจิตกับเธอ
เดิมตอนนี้จิตใจของเธอก็ไม่ค่อยมั่นคง ดังนั้นการถูกสิ่งเร้าจากภายนอกกระทบก็เป็นเรื่องง่ายมาก
แม้ว่าอานหยันจะสับสนอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่รู้ว่า ทำไมฉินซีถึงได้เปลี่ยนความคิดกะทันหัน และก็ไม่เข้าใจว่าอาการของฉินซีในตอนนี้จำเป็นต้องพักดูอาการที่โรงพยาบาล แต่ถึงอย่างไร เธอก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ฟังคุณหมอ ให้ฉินซีพักอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อดูอาการสักสองสามวัน
แน่นอนว่าการให้ฉินซีพักอยู่ที่โรงพยาบาลก็เป็นการจัดการขององค์กร
หากให้ฉินซีกลับไปที่บ้านของอานหยัน ก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมดูแลขององค์กร พวกเขาไม่สามารถเสี่ยงอันตรายในจุดนี้ได้
ขั้นตอนการเข้าพักในโรงพยาบาลนั้น ดำเนินการเสร็จอย่างรวดเร็ว หลังจากฝากฝังให้นางพยาบาลช่วยดูแลฉินซีแล้ว อานหยันออกจากโรงพยาบาล เพื่อกลับไปจัดการเก็บเสื้อผ้าของฉินซีมาเล็กน้อย
ขณะที่เธอออกจากโรงพยาบาลไปได้ไม่นาน ห้องพักผู้ป่วยของฉินซีก็มีคนเดินเข้ามาสองคน
………คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้านั้น แน่นอนว่าไม่ใช่คนอื่น แต่คือจ้านเซินที่ฉินซีไม่ได้พบหน้านานแล้ว ส่วนคุณหมอที่รักษาอาการให้กับฉินซีคนนั้น กำลังพูดอะไรอยู่ด้านหลังเขา
เมื่อฉินซีเห็นเขาแล้วก็ขมวดคิ้วในทันที
แต่จ้านเซินกลับไม่ทันได้สังเกตเห็น ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปของเธอ ในตอนนี้เขากำลังตั้งใจฟังผลการรายงานของคุณหมอ
“……..ตอนนี้ยืนยันได้ว่า เพราะไม่สามารถยอมรับความจริงได้ เพื่อปกป้องตัวเอง สมองจึงเกิดภาพหลอนขึ้นมาครับ อาการถัดไปนั้น ผมยังคงต้องสังเกตต่อไป”