บทที่ 1180 โลกทั้งใบของฉินซี
“แม่ฉันโทรหาฉัน…….” เสียงของฉินซีเบามาก ถ้าหากไม่ตั้งใจฟังดีๆ แทบจะฟังไม่ชัดในสิ่งที่เธอพูด “เธอได้บอกเรื่องเยอะแยะกับฉัน ให้ฉันใช้ชีวิตดีๆ ฉันรู้สึกแปลกๆ ก็เลยรีบวิ่งไปที่ดาดฟ้า แต่สุดท้ายฉันเพิ่งวิ่งไปถึง เธอก็…..เธอก็……”
ฉินซีพูดละล่ำละลักว่า แต่สุดท้ายก็พูดคำว่าโดดตึกออกมาไม่ได้
ตำรวจชายคนนั้นเปิดปากพูดว่า:“กระโดดลงไปต่อหน้าคุณเลย ใช่มั้ยครับ?”
ฉินซีหยุดนิ่งไปครู่นึง ถึงได้พยักหน้าเบาๆ
ตำรวจที่ได้ดูคลิปในกล้องวงจรปิดแล้วหลังจากที่เอากล้องวงจรปิดเข้ามาก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย เขายืนอยู่ด้านหลังโต๊ะ กอดแขนไว้และฟังฉินซีเล่าความไปมาของเรื่องทั้งหมด หลังจากนั้นได้พยักหน้ากับตำรวจหญิงเบาๆ
ตำรวจหญิงก็รู้แล้วว่า นี่ก็แสดงว่าฉินซีไม่ได้พูดโกหก สิ่งที่เธอพูดทั้งหมดก็ตรงกับในคลิปทั้งหมด
เพราะฉะนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมฉินซีถึงได้มีสภาพแบบนี้
แม่แท้ๆโดดตึกต่อหน้าตัวเอง…….
ยังสามารถยืนและพูดได้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
การให้ปากคำได้เสียเวลาไปพักนึง ในที่สุดก็เสร็จสิ้นเสียที
ตำรวจหญิงลุกขึ้น แล้วเข้าไปใกล้ๆฉินซี:“.เราตรวจสอบแล้ว สาเหตุการเสียชีวิตของแม่คุณ…..
เกิดจากได้รับแรงกระแทก โดยหลักการแล้วก็คือ……ตอนโดดลงไปก็เสียชีวิตทันทีแล้ว ไม่ได้ทรมานอะไร เพื่อนของคุณมาแล้ว ฉันส่งคุณออกไปเถอะ”
ฉินซียังมีสีหน้าเรียบเฉย พยักหน้าเบาๆ แล้วยืนขึ้นเหมือนหุ่นเชิด เดินตามตำรวจมาถึงที่ห้องโถง
อานหยันมาถึงแล้ว และก็ได้ยินจากตำรวจเล่าเรื่องความเป็นมาทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ตาเธอแดงๆ น่าจะร้องไห้มาแล้ว
มองดูฉินซีเดินออกมาอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตาเธอยิ่งแดงขึ้นมาทันที
ตำรวจหญิงมองมาที่เธอ แล้วกำชับเรื่องที่ต้องทำหลังจากนั้น ฉินซีในสภาพแบบนี้เห็นได้ชัดว่าคงหวังจะให้เธอทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เธอก็เลยมอบหมายงานศพของ เหยาหมิ่นให้แก่ อานหยัน ยังดีที่ดูแล้ว อานหยันก็ใส่ใจเรื่องนี้มากๆ และพยักหน้ารัวๆ ยังเอาสมุดบันทึกออกมาบันทึกเรื่องที่ตำรวจกำชับให้
ตำรวจหญิงพูดจบทุกอย่าง แล้วได้สัมผัสที่ไหล่เธอเบาๆ และพูดว่า:“ดูแลเธอดีๆนะ”
อานหยันพยักหน้า
ตำรวจหญิงถึงได้หันหลังจากไป
ในห้องโถงคนไม่เยอะ ในหัวมุมนี้มีแต่ฉินซีกับ อานหยันสองคน
อานหยันเก็บมือถือเข้าไปในกระเป๋า แล้วเงยหน้ามองฉินซีไปหลายวิ ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เธอยื่นแขนออกมากอดฉินซีไว้ในอ้อมกอด แล้วพูดด้วยเสียงเบาว่า:“ยังมีฉันอยู่นะ ยังมีฉันอยู่…….”
แต่ฉินซีกลับเหมือนกิ่งไม้
ไม่พูดไม่จา ไม่มีสีหน้าใดๆ และก็ไม่ร้องไห้เลย
………..
ศพของเหยาหมิ่น อานหยันยังเป็นคนที่มาช่วยรับกลับไป
หลังจากตำรวจได้ตรวจสอบแล้ว ศพก็สามารถนำเอาไปทำพิธีเผาศพได้แล้ว อานหยันได้ติดต่อกับที่จัดงานศพแล้ว ให้ฝั่งนู้นนำศพของ เหยาหมิ่นไป หลังจากนั้นก็ได้พาฉินซีไปด้วย
การตายของเหยาหมิ่นเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป แทบจะไม่ได้มีการเตรียมการอะไรเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องยุ่งๆอย่างสุสานเลย พวกเขาทำได้เผาศพของเหยาหมิ่นก่อน รอให้หาสถานที่ตั้งสุสานที่เหมาะสมแล้ว ค่อยฝังเธอลงไป
ก่อนพิธีเผาศพ ช่างแต่งหน้าศพได้เช็ดหน้าของเหยาหมิ่นให้สะอาด แล้วใช่เครื่องสำอางปกปิดแผลบนหน้าผากเธอ แล้วแต่งหน้าบางๆ
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ฉินซีได้เห็นหน้าของ เหยาหมิ่น
ดูแล้วเหยาหมิ่นเงียบสงบมาก เหมือนกับว่าแค่นอนหลับไปเท่านั้น ในมุมปากยังมีรอยยิ้มอ่อนๆ เหมือนกับว่าได้ฝันหวานอะไรสักอย่าง
ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่า เมื่อกี๊เธอเพิ่งใช้วิธีที่น่าสลดใจแบบนั้นไปจากโลกนี้
ถึงเวลาเผาศพแล้ว
ศพของเหยาหมิ่นได้ค่อยๆถูกดันเข้าไปในเตาเผา
ฉินซีเหมือนด้วยจิตลึกๆของตัวเอง ทำให้ตัวเธอเดินตามไปข้างหน้าสองก้าว
ยังดีที่มี อานหยันอยู่ด้วย เลยได้ดึงตัวเธอไว้
ไม่อย่างงั้นเธอคงจะตามเหยาหมิ่นเข้าไปในเตาเผาศพที่มีอุณหภูมิสูงถึงหลายพันองศาพร้อมกันแล้ว จนกลายเป็นเถ้าธุรีแล้วหายไปจากโลกนี้
ฉินซีไม่รู้ตัวว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
อาจจะหลายวิ อาจจะหลายนาที และเธออาจจะยืนอยู่ที่นี่ด้วยเวลาทั้งหมดของชีวิตเธอที่เหลืออยู่
เธอไม่ได้คิดอะไรเลย ตาจ้องไปที่เตาเผาศพ
เหยาหมิ่นอยู่ข้างในนั้น จะเจ็บปวดมากมั้ย?
เธอกลายเป็นเถ้าธุรีแล้วหายไปจากโลกนี้แล้วจริงๆหรือ?
ตอนที่พนักงานเตือนเธอว่าไปได้แล้ว เธอรู้สึกว่าตัวเองยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานแล้ว และก็รู้สึกเมื่อยตาแล้ว
อานหยันดึงเสื้อเธอเบาๆ
ฉินซีหันหน้ามา ถึงได้รู้ตัวว่าในมือของพนักงานได้ถือโกศเก็บอัฐิอันใหม่ไว้
“เสียใจด้วยครับ” พนักงานเปิดปากพูดตามพิธี แล้วยื่นโกศเก็บอัฐิให้ฉินซี หลังจากนั้นก็ได้หันหน้าไปอีกด้านนึง แล้วพูดว่า :“คนต่อไปเข้ามาได้แล้วครับ!”
สามีภรรยาแก่ๆคู่นึงที่พยุงตัวกันเดินเข้ามา ทั้งสองผมหงอกไปทั้งหัว
ไม่รู้คนที่เสียไปเป็นเพื่อนของพวกเขาหรือว่าเป็นลูกหลานของพวกเขา ถึงได้ทำให้พวกเขาอายุปูนนี้แล้วยังน้ำตาไหลไม่หยุดอีก
บนโลกนี้มีชีวิตใหม่กำเนิดอยู่ตลอดเวลา และก็มีชีวิตที่นับไม่ถ้วนได้จากไปจากโลกนี้เช่นกัน
เหยาหมิ่นก็เป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวในบางช่วงของเวลาเท่านั้น
แต่เธอกลับเป็นโลกทั้งโลกของฉินซี
ฉินซีถืออัฐิไว้ แล้วเดินตามหลัง อานหยันออกไปจากสถานที่เผาศพ
อานหยันได้สำรวจเธออยู่ตลอดทาง
เธอได้ยินจากตำรวจแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาแล้ว ฉินซีอาจจะโดดลงไปพร้อมกับเหยาหมิ่นแล้ว
เธอเป็นห่วงว่าฉินซีจะทำเรื่องโง่ๆอะไรอีก
แต่การตอบสนองของฉินซีเงียบสงบกว่าที่เธอคิดเอาไว้
เธอถือโกศอัฐิไว้ แค่มองดูอย่างเงียบสงบ แม้แต่น้ำตาก็ไม่ไหล
จนทั้งสองคนเดินมาถึงข้างรถของ อานหยัน ฉินซีถึงได้เปิดปากพูดอย่างกะทันหัน
“อานหยัน” เสียงของเธอแหบ ถึงแม้จะเรียกชื่อของ อานหยัน แต่สายตายังมองอยู่ที่โกศเก็บอัฐิ
อานหยันรีบหันไปมองเธอ:“เป็นอะไรหรือ?”
“ฉันไม่มีแม่แล้ว”
ตอนที่ฉินซีพูดคำๆนี้ น้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์ เหมือนกับว่าเธอกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น และตัวเธอเองเป็นแค่คนนอกที่มองอยู่ข้างๆ
แต่ อานหยันกลับรู้สึกว่าความโศกเศร้าได้กลืนกินใจเธอ
การที่ฉินซีเงียบสงบแบบนี้ เจ็บยิ่งกว่าความเจ็บปวดอื่นๆ
เธออยากจะให้ฉินซีร้องไห้ออกมา และระบายความเจ็บปวดในใจออกมาให้หมด
แต่เธอรู้ว่า ฉินซีไม่สามารถร้องไห้ออกมาอีกแล้ว
ฉินซีเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
เธอเจ็บมาก เจ็บไปหมด
คางที่หนังถลอก ฝ่ามือที่ตบผู้หญิงจนบวม ทุกซอกกระดูก หน้าผาก สมองและหัวใจ ล้วนเจ็บไปหมด
มีเพียงน้ำตาเท่านั้น ไม่ไหลสักหยด
การจากไปของเหยาหมิ่น ได้เอาความสุขทุกอย่างของเธอไปแล้ว แต่ก็เอาความเศร้าของเธอไปด้วย
ฉินซีในตอนนี้มีแต่ใจที่ว่างเปล่า และทั้งคนก็ว่างเปล่าไปด้วย
ถ้าจะพูดว่าการจากไปของฟางฟางได้ฉีกวิญญาณของเธอเป็นชิ้นๆ แล้วเอาวิญญาณส่วนนึงของเธอไป ถ้างั้นการจากไปของเหยาหมิ่นได้เอาวิญญาณทั้งหมดของเธอไปแล้ว
ฉินซีที่อยู่ตรงนี้ในเวลานี้เป็นแค่ศพไร้วิญญาณที่เดินได้เท่านั้น