บทที่ 1175 ผ่านการโดนแตะแล้ว
หลินยี่ทำเสียงกิ๊กิ๊ แต่เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับคำพูดของลู่เซิ่น
เขาเข้าใจความรู้สึกของลู่เซิ่นดี ถ้าเขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับลู่เซิ่น กลัวว่าจะทำอะไรที่รุนแรงกว่านี้เป็นแน่
แต่วันนี้เขามาที่นี่เป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่มาเป็นถังขยะให้ลู่เซิ่น ฟังเขาบ่น
——อย่างน้อยก็ได้มาเป็นเพื่อนคู่คิด!
ดังนั้นเขากระแอมเสียงใส หันไปหาลู่เซิ่น:“ นายสรุปหลักฐานเบาะแสต่างๆให้ฉันฟังอีกรอบสิ๊?ฉันจะช่วยคิดอีกแรง”
ขนาดจดหมายที่ฉินซีทิ้งไว้ก็อ่านแล้ว ลู่เซิ่นไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไรหลินยี่แล้ว ประโยคสั้นๆสองสามประโยค
เขาพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟังรอบนึง
หลินยี่ฟังจบ ก็ไม่ได้พูดอะไร
……เรื่องนี้ ซับซ้อนกว่าที่คิดไว้เยอะ
เขาหัวเราะแห้งไปสองครั้ง แล้วทวนคำพูดของตัวเองอีกครั้งนึง:“ ภรรยาของนายนี่ความคิดดีจริงๆ”
ลู่เซิ่นฟังแล้วก็ดูออกว่าเขาไม่มีไอเดีย แต่ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดีนัก ขี้เกียจเถียงกับเขาละ เพียงแค่กลอกตาของเขาอย่างเงียบๆ
“ถ้าอยู่เมืองหนาน ฉันยังสามารถให้องค์กรหยินเฟิงตรวจสอบให้” หลินยี่เมินใส่ลู่เซิ่น ดูจะไม่พอใจ
“แต่ประเทศFนี้ เป็นดินแดนของนาย นายยังปล่อยให้ฉินซีหายตัวไปได้ งั้นฉันก็ช่วยอะไรนายไม่ได้จริงๆ”
ลู่เซิ่นปัดมือให้เขาหุบปาก
หลินยี่หัวเราะ แต่ก็พยายามกลั้นยิ้มไว้ หยุดไปสักพักจึงเอ่ยปากพูด:“ ฉันรู้ ว่านายไม่เชื่อที่ฉินซีจากไปด้วยตัวเองแน่นอน แต่ว่า……ดูจากข้อมูลที่นายให้ฉัน ความเป็นไปได้ที่เธอจะจากไปด้วยตัวเองนั้นก็มีไม่น้อย นาย……เตรียมตัวเตรียมใจเถอะ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร แล้วเอามือกุมหน้าผาก เวลาสักพักกว่าจะเอ่ยปากพูด:“ แน่นอนฉันรู้ดี”
อันที่จริงเขาก็เตรียมใจไว้แล้ว ไม่ว่าตอนสุดท้ายจะพบตัวฉินซี แล้วเธอจะให้เหตุผลในการหนีหายไปยังไงก็ตาม เขาพร้อมยอมรับกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ขอแค่พบตัวเธอ ขอแค่เธอปลอดภัย นอกนั้นเขาก็ยอมรับได้ทุกอย่าง
หลินยี่มองเขาที่ดูหดหู่ไปทั้งตัว ก็ไม่อยากจะไปพูดกระตุ้นอะไรให้แย่ไปกว่านี้แล้ว ทำได้เพียงตบไหล่เขา
ลมพัดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง พัดจนจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นหล่นลง
กระดาษเบาบางแผ่นหนึ่ง แต่มันกลายเป็นปมที่คนสองคนไม่สามารถเข้าใจกันได้
ลู่เซิ่นนั่งลงที่เดิม มองกระดาษแผ่นนั้นปลิวตกลงไป และไม่มีวี่แววที่จะเก็บมันขึ้นมา
สุดท้ายก็เป็นหลินยี่ที่บาดเจ็บอยู่ถอนหายใจ ก้มตัวลงไปเก็บมันขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
ท้องของเขาได้รับบาดเจ็บ ลำบากไม่น้อยสำหรับการที่ก้มลงไปแบบนี้ ฉะนั้นเสียเวลามากนิดหน่อย
จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟา เขานำจดหมายวางคืนบนโต๊ะ และนำแก้วทับไว้ มองไปที่จดหมายนั้นอีกครั้ง เอ่ยปากพูด:“ ทำไมกระดาษบ้านนาย เล็กกว่า A4 ขนาดปกติล่ะ?นายฉีกมันหรอ?”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว:“ ฉีกอะไร?ฉันไม่ได้ทำอะไรกับจดหมายฉบับนั้นเลย”
หลินยี่เลิกคิ้ว เอาจดหมายนั้นออกมา แล้วหยิบกระดาษเปล่าจากบนโต๊ะนั้น ยื่นให้ลู่เซิ่นพร้อมกัน:“ นายดูเองละกัน เห็นได้ชัดว่าขนาดเล็กกว่า1ส่วน”
ความสนใจจดจ่อของลู่เซิ่นเมื่อวานนั้นอยู่ที่เนื้อหาของจดหมายที่ฉินซีทิ้งไว้ให้ กลับไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย พอหลินยี่ทักเท่านั้นแหละ พึ่งจะมาสังเกตจุดนี้
อันที่จริงเขาจะไม่สังเกตเห็นเป็นเรื่องปกติที่ ท้ายสุดก็ต้องเปรียบเทียบจริงๆ จดหมายที่ฉินซีทิ้งไว้นั้นสั้นกว่ากระดาษขนาดปกติประมาณหนึ่งเซนติเมตรบวกลบ ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาอันแหลมคมของหลินยี่ น้อยคนนักที่จะเห็นความแตกต่างจุดนี้
ลู่เซิ่นนั่งหลังตรง ดูจดหมายนั้นอย่างละเอียด หลายวินาทีผ่านก็พบว่า ขอบล่างของจดหมายนั้น มีร่องรอยการถูกมีดกรีดซ้ำ
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทำไมถึงถูกตัดตอนช่วงท้ายล่ะ?
จดหมายฉบับนี้ของฉินซีสั้นมาก น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกระดาษด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องตัดกระดาษในช่วงเซนติเมตรสุดท้ายด้วยนะ?
และ……ลู่เซิ่นมองไปรอบๆ โต๊ะทำงานในห้อง
บนโต๊ะก็ไม่เห็นมีมีดที่แหลมคมบางพอที่จะตัดได้
ถ้าฉินซีจะเขียนอะไรบางอย่างและเสียใจแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกฉีกออกด้วยมือเปล่า
หากฉินซีมีความคิดที่จะหามีดเล็กจากที่อื่นเพื่อตัดออก……ตามนิสัยของฉินซี เธอกลัวที่จะต้องเขียนใหม่
ดูเหมือนว่า เศษกระดาษที่หายไปส่วนนี้ ดูเหมือนจะเป็นกุญแจสำคัญ
หลินยี่เอาจดหมายนั้นไปดูอีกครั้ง สะบัดๆ จู่ๆก็พูดว่า:“ นายดู!ถ้าจดหมายนี้พับครึ่งไว้ มันจะไม่พอดี”
ลู่เซิ่นหันไปมองจริงๆซะด้วย จึงพับกระดาษตามรอยเดิมที่พับไว้ ระหว่างสองขอบนั้น มันต่าง1เซนติเมตรบวกลบพอดี
……นี่อาจเป็นความคืบหน้าใหม่!
ลู่เซิ่นนำจดหมายกลับมาอีกครั้ง ดูซ้ายขวาอย่างละเอียดอีก
“ถ้านี่เป็นขอบของหลังจากการพับครึ่ง……งั้นก็พอเข้าใจได้” ลู่เซิ่นพูดช้าๆ “อาจเพราะหลังจากเธอเขียนเสร็จแล้วพับ แล้วคิดว่าอะไรคือสิ่งที่อยากให้ฉันเห็นเป็นสิ่งแรก ดังนั้นจึงเขียนไว้ด้านนอกสุด”
หลินยี่พยักหน้าเห็นด้วย:“ แน่นอน นี่เป็นความเคยชินของคนส่วนใหญ่”
“แต่ว่า ปัญหาตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เธอเขียนอะไร แล้วทำไมถึงหายไป?”
ลู่เซิ่นจ้องไปที่ความผิดปกติของ1เซนติเมตรนั่น ตอนที่ถามคำถามนี้ออกไป ก็มีคำตอบในใจแล้ว
——ส่วนมากก็เกี่ยวข้องกับผู้บุกรุก
หากจดหมายนี้ถูกคนแก้ไขมาก่อนหน้านี้แล้ว……
ลู่เซิ่นใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย
อย่างน้อยก็เป็นการบอกว่า การจากไปของฉินซีนั้น ไม่ได้เจตนาหนีหายไปด้วยตัวเอง
“อีกอย่าง……ประโยคของตรงนี้ ฉันดูทั้งคืน แต่ก็ดูไม่เข้าใจ” ลู่เซิ่นคิดถึงตรงนี้ เปิดจดหมายออก ชี้ไปที่ประโยคๆหนึ่ง “รอคอยครั้งสุดท้ายที่จะได้โทรหาคุณ”
หลินยี่ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วย พูดอย่างงงๆว่า:“ ประโยคนี้ดูไม่เข้าใจตรงไหน?”
ลู่เซิ่นส่ายหัว:“ วันนั้น ฉันยังไม่ได้คุยจริงจังกับเธอมากนัก”
หลินยี่คิ้วขมวดตามทันที
“อาจจะเพราะ……ตอนที่เธอเขียนจดหมายฉบับนี้ กำลังจะบอกฉันบางอย่างในวีดีโอคอล” ลู่เซิ่นพูดช้าๆ เหมือนกับว่ากำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่าง “พ่อบ้านก็บอกอยู่ วันนั้น เธอมีอาการผิดปกติ ฉินซีไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะมาอำลาคนอื่นแบบนี้ คงเตรียมการไว้แล้ว จะบอกลาฉันผ่านวีดีโอคอล จึงเขียนประโยคนี้ลงไป”
ลู่เซิ่นคิดถึงผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอีกครั้ง แสงสว่างวาบเข้ามาที่สมอง พูดเร็วขึ้น:“ แต่คราวนี้……เวลานี้มีผู้บุกรุกเข้ามาในบ้าน ใช้วิธีอะไรบังคับเธอ หรือวางยาเธอ ทำให้เธอควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วพูดโกหกกับพ่อบ้าน จากไปโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง”
หลินยี่ที่กำลังฟังอยู่ พยักหน้าไม่หยุด:“ ฟังแบบนี้แล้ว……ดูสมเหตุสมผลขึ้น ส่วนข้อขัดแย้งพวกนั้น ก็สามารถอธิบายได้แล้ว”
ลู่เซิ่นลุกขึ้นยืน:“ หากสามารถหาสิ่งที่เขียนในประโยคด้านบนที่ขาดหายไป ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานได้! ”