บทที่ 1171 ถูกคุณผู้หญิงพาออกไปแล้ว
จริงๆลู่เซิ่นออกไปจากที่นี่ไม่กี่วันมานี้ แต่กลับรู้สึกว่าที่นี่มันแปลกๆไม่คุ้นชิน ……อาจจะเพราะรู้ว่าฉินซีไม่อยู่ที่นี่แล้ว
“พูดเถอะ” เขานั่งลงบนโซฟา น้ำไม่ทันได้จิบ และเงยหน้ามองพ่อบ้าน “หลายวันมานี้มีอะไรผิดปกติมั้ย”
นั่งเครื่องบินเกือบ10ชั่วโมงช่างทรมานเหลือเกิน แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาสงบสติลง ความสงบนี้ก็พอที่
จะทำให้เขาได้คิดทบทวนสิ่งที่เคยเกิดขึ้น กลับพบว่า ตัวเองตกอยู่ในความคิดที่ผิด
ตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกมาโดยตลอดว่าฉินซีเป็นฝ่ายออกไปเอง
ยังไงซะคนที่โทรมาคุยกับเขาก็คือฉินซี ไปอานหยันก็เป็นฉินซีเป็นคนพูดออกจากปากตัวเอง อย่างไรก็ตามเรื่องที่
จะไปบ้านอานหยันนั้นเป็นเพียงข้ออ้างที่จะหายตัวไป เหมือนกับฉินซีเป็นคนตัดสินใจเองหมดเลยยังไงยังนั้น
แต่ทันใดนั้นเขากลับคิดว่าทำไมจู่ๆคืนวันนั้นถึงได้วีดีโอคอลกับฉินซี
——เพราะพ่อบ้านบอกว่า ฉินซีมีบางอย่างผิดสังเกต
ณ ตอนนั้นตัวเองสงสัยคิดว่าฉินซีถูกวางยาจำพวกระงับประสาทอยู่หรือไม่ จึงได้โทรไปเช็คเพื่อความมั่นใจ
เพราะคำถามที่ฉินซีตอบในขณะนั้นเป็นธรรมชาติมาก ลู่เซิ่นคิดไท่ถึงว่าทำไมเธอถึงถูกวางยา ดังนั้นความสงสัยของเขาก็ถูกล้มเลิกไป
แต่ว่าตอนนี้ ฉินซีหายตัวไป มันไม่ปกติแล้ว
ลู่เซิ่นกลับมานั่งคิดทบทวน ตอนฉินซีอยู่ในสายโทรศัพท์ เธอนั่งอยู่ในรถ ตัวเองดูไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าท่าทางที่ผิดปกติของเธอ เพียงตัดสินจากการตอบคำถามที่ดูปกติดีว่าเธอไม่เป็นไร
แต่การควบคุมระดับนี้ ใช้ยาที่ผลิตและพัฒนาโดยทหารนี้ทั้งยังมีราคาแพง ซึ่งได้ผลแน่นอนอยู่แล้ว อีกอย่างถึงแม้จะไม่ใช้ยาควบคุมก็ตาม หากจะมีคนนำเรื่องต่างๆมาข่มขู่ฉินซีไว้ ก็มีความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นฝ่ายจากไปเอง
แต่ว่า……มีเรื่องอะไรบ้างล่ะ สามารถมาข่มขู่เธอได้?
ทันใดนั้นลู่เซิ่นไม่มีความคิดอื่นเลย
เพราะอย่างนี้เขาเลยรีบถามกับแม่บ้านเพื่อความแน่ใจ คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พ่อบ้านรู้สึกลังเลเล็กน้อย ผ่านไปหลายวินาทีถึงจะเอ่ยปากพูด
“เมื่อคุณไปได้สักพัก อาการของคุณผู้หญิงดูไม่ค่อยดี ข้าวเที่ยงก็กินไม่เยอะเท่าไหร่ ส่วนตอนเย็นก็ออกไปข้างนอก ตอนที่กลับมาดูอาการถึงดูปกติขึ้นมาหน่อยครับ”
สมองของลู่เซิ่นมีอะไรแวบเข้ามาทันที เขาขมวดคิ้วพร้อมถาม“:ออกไปข้างนอก?”
พ่อบ้านพยักหน้า:“คนขับรถบอกว่า……ไปบริษัทพีอาร์สวนเหวินช่วง
ลู่เซิ่นพยักหน้า
ฉินซีน่าจะกำลังเตรียมงานนิทรรศการภาพถ่ายอยู่มั้ง
“พอรุ่งเช้าตื่นมา ก็ผิดสังเกตนิดหน่อยแล้วครับ” พ่อบ้านพูดต่อ “รุ่งเช้าเธอตื่นเช้ามาก แล้วรีบออกไปอย่างรีบร้อน ตอนกลับมาก็ดูอารมณ์ไม่ดีมากนัก ข้าวเที่ยงก็ไม่กิน ก็เดินเข้าห้องตัวเองไปเลย”
ลู่เซิ่นก็จำวันนั้นได้ ก่อนเธอออกไปข้างนอก ตัวเองยังได้คุยโทรศัพท์กับเธออยู่
ตอนนั้นตัวเองแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเธอถึงแต่งหน้าจัดขนาดนี้แต่เช้า ตอนนี้นึกย้อนไปแล้ว
อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อคืนก่อนพักผ่อนไม่เพียงพอ เลยต้องแต่งหน้าเพื่อปกปิดความแห้งเหี่ยวไม่สดชื่นของตัวเอง
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วมากขึ้น แต่คำพูดต่อไปของพ่อบ้านทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“แต่คุณผู้หญิงไม่ได้กลับห้องตัวเองโดยตรง แต่ไปที่ห้องมืดครับ” เสียงของพ่อบ้านลังเลเล็กน้อย แต่ก็พูดต่อ “จากนั้น……เธอโทรมาหาผม บอกว่ามีคนเคยเข้าไปในห้องมืดครับ”
“มีคนบุกเข้ามา?” ลู่เซิ่นนั่งตัวตรงและเงยหน้าขึ้นมองเขา
พ่อบ้านหยุดนิ่งไปหลายวินาที ก็ยอมรับว่า:“ มีคนบุกรุกเข้ามารีสอร์ทชิงหยวนครับ”
ลู่เซิ่นหน้าบึ้งลงมาทันที อุณหภูมิรอบตัวราวกับว่าลดต่ำไปหลายองศา ทุกคำพูดราวกับว่าเหมือนแทรกออกมาจากซอกฟัน:“มีคนบุกรุกเข้ามาทำไมไม่มีคนมาบอกฉัน ”
พ่อบ้านอยู่กับลู่เซิ่นมานานหลายปีจนรู้นิสัยเค้าดี นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นเค้าโมโหขนาดนี้ แต่เรื่องนี้เป็นความสับเพร่าของเขาเอง เขาทำได้เพียงก้มหน้าลงและอธิบาย:“ รปภ.ได้ตรวจสอบดูแล้ว ในบ้านไม่มีของอะไรหายไป มีเพียงโน๊ตบุ๊คเครื่องเดียวของคุณหญิงที่ถูกเปิดทิ้งไว้ในห้องมืด และนอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบรีสอร์ทชิงหยวน
อย่างละเอียดไปครั้งนึงแล้ว แน่ใจแล้งว่าผู้บุกรุกออกไปแล้ว คุณผู้หญิงเน้นย้ำผมเป็นพิเศษ
ว่าที่บ้านไม่มีของอะไรสูญหาย แค่อย่าให้ผมไปรายงานให้คุณทราบ คืนวันนั้นผมรู้สึกลังเลใจที่จะบอกกับคุณ แต่ว่าคุณ……ดูเหมือนกำลังยุ่งอยู่ ไม่ได้ฟังผมพูดจบ ก็ตัดสายไป”
ลู่เซิ่นยังจะจำได้ที่ไหนว่าตัวเองไม่ให้เขารายงานเสร็จก็กดตัดสายไป นาทีนี้ก็ไม่มีอารมณ์มาถือสากับเขา
ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่พ่อบ้านพูดก่อนหน้านั้น
“แกบอกว่าที่บ้านไม่มีอะไรสูญหาย มีแค่โน๊ตบุ๊คของฉินซีที่ถูกเปิด?” เขาขมวดคิ้วแน่น ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
พ่อบ้านพยักหน้า:“เป็นแบบนี้จริงๆครับ จากนั้นคุณผู้หญิงเข้าไปในห้องสมุดเช็คคอมพิวเตอร์อีกครั้งด้วยตัวเอง แต่ว่าในคอมพิวเตอร์นั้นมีอะไร เธอไม่ได้บอกพวกเราครับ”
โน๊ตบุ๊ค
ลู่เซิ่นคิดทบทวนอย่างละเอียดอีกครั้ง กลับหาสาเหตุที่เกี่ยวข้องไม่ได้
เขารู้ดีกว่าใครๆว่าระดับความปลอดภัยของรีสอร์ทชิงหยวนนั้นดีมากๆ ไม่ใช่ใครง่ายๆที่จะบุกเข้ามาได้ พูดเลยว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามา ต้องใช้ความพยายามและความสามารถอย่างหนักแน่นอน
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คนที่บุกรุกเข้ามาแค่มาค้นโน๊ตบุ๊คของฉินซีงั้นหรอ?
ดูๆแล้ว กุญแจสำคัญของปัญหาอยู่ที่โน๊ตบุ๊คเครื่องนั้น
“เอาโน๊ตบุ๊คมาให้ฉันดูหน่อย”เขาออกคำสั่ง
พ่อบ้านกลับเผยสีหน้าลำบากใจ:“โน๊ตบุ๊ค……ถูกคุณผู้หญิงเอาไปแล้วครับ”
สีหน้าของลู่เซิ่นดูยิ่งแย่กว่าเดิม
ฉินซีมักจะนำของไม่สำคัญของเธอไว้ในห้องมืด เขารู้ดี
ขนาดโน๊ตบุ๊คยังไว้ในห้องมืด งั้นแสดงว่าเป็นสิ่งที่เธอไม่ค่อยใช้สักเท่าไหร่
ของแบบนี้ กลับถูกเธอเอาไปด้วย
……ดูๆแล้วคนที่บุกรุกเข้ามาต้องใส่อะไรเข้าไปในโน๊ตบุ๊คแน่ๆ ที่มันสำคัญต่อฉินซีมากๆ
มันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการจากไปของเธอ
แต่ดันว่าโน๊ตบุ๊คกลับไม่อยู่แล้ว
ลู่เซินรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังเล่นเกมส์ถอดรหัส แต่ในมือกลับไม่มีเบาะแสอะไรเลย เสมือนมี
หมอกหนาอยู่ตรงหน้า มองอะไรไม่ค่อยชัด
แต่พอนึกถึงฉินซีที่หายตัวไป เขาจึงมีเหตุผลที่จะยืนหยัดต่อไป
ถ้าเดิมทีเขาลังเลว่าฉินซีออกจากที่นี่ไปเองหรือถูกคนอื่นลักพาตัว แต่พอทราบเรื่องมีคนบุกรุก ใจก็เทไปทางที่น่าจะมีคนบีบบังคับเธอ
ลู่เซิ่นค่อยๆหลับตาลง เอ่ยปากพูด:“ยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย?”
พ่อบ้านคิดๆแล้ว พยักหน้าและพูดว่า:“ คุณผู้หญิงไปเช็คคอมพิวเตอร์ที่ห้องสมุด หลังจากออกมาดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พอถึงเวลาอาหารเย็น ถามคำถามผมเยอะมาก……เกี่ยวกับคนรับใช้ในบ้าน”
ลู่เซิ่นเงยหน้าขึ้นมองเขา:“ คนรับใช้?”
พ่อบ้านพยักหน้าอีกครั้ง:“ใช่ครับ ถามว่าคนขับรถแต่งงานรึยัง ลูกสาวของป้าที่ทำอาหารอยู่ในห้องครัวคุ้นชินกับที่นี่มั้ย แล้วยังถามถึงเรื่องหลานสาวผมด้วยครับ ฟังดูแล้ว……เหมือนกำลังจะอำลา ดังนั้นเมื่อเธอบอกว่าเธอจะออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ผมถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติครับ”
เมื่อสักครู่ลู่เซิ่นยังรู้สึกว่าฉินซีไม่ได้ฝ่ายที่จะไปเอง แต่พอพ่อบ้านพูดมาแบบนี้ กลับสงสัยขึ้นมาอีกครั้งนึง
ถ้าถูกลักพาตัว จะทำแบบนี้หรอ?