บทที่ 1170 ทนไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
ลู่เซิ่นนั่งเครื่องมาสิบกว่าชั่วโมงยังไม่ทรมานเท่านี้มาก่อน
อยู่บนเครื่องมีเรื่องมากมายที่ทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เคลียร์เอกสารเพื่อมาเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง
พอเครื่องบินลงจอด เขาถึงพบว่าตัวเองไม่ได้หลับตาแม้แต่นาทีเดียว ไม่เพียงแต่ดูเอกสารที่ทิ้งไว้หลายวันจนหมด แม้กระทั่งยังได้ดูเอกสารที่จะต้องจัดการในสัปดาห์หน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พื้นที่ของรีสอร์ทชิงหยวนใหญ่สู้บ้านใหญ่ในเมืองหนานไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีที่จอดเครื่องบิน ปกติเครื่องบินล้วนแต่จอดดูแลรักษาอยู่ที่สนามบิน แต่ว่าวันนี้ลู่เซิ่นรีบร้อน ดังนั้นจึงได้ให้เครื่องบินจอดลงที่บ้านตระกูลลู่โดยตรง
รู้สึกได้ว่าเครื่องบินกำลังลดระดับต่ำลง เวินจิ้งที่ตลอดทางไม่ได้โผล่หน้าออกมาก็ได้เดินออกมาสักที
เธอดูแล้วก็เหมือนไม่ได้พักผ่อนดีๆเหมือนกัน สีหน้าค่อนข้างอิดโรย เงยหน้ามองลู่เซิ่นและถาม: “เราจะถึงหรือยังคะ?”
ลู่เซิ่นอารมณ์ไม่ดี ไม่ได้สนใจเธอ ยังเป็นหลินหยังที่คอยคลี่คลายสถานการณ์ เขาพยักหน้า: “ใกล้ถึงแล้วครับ คุณเตรียมตัวหน่อย เครื่องบินจะจอดลงที่บ้านตระกูลลู่โดยตรงครับ คุณออกไปก็สามารถเจอพี่ชายคุณเลยครับ”
เวินจิ้งได้ยินข่าวที่จะได้เจอหลินยี่ในทันที ก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยเลย จึงไม่ได้ถือสาลู่เซิ่น เธอกล่าวขอบคุณกับหลินหยัง จากนั้นก็ได้กลับไปเก็บข้าวของของตัวเองแล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบลู่เซิ่นสีหน้าบูดบึ้งตลอด ไม่พูดสักคำ พนักงานบนเครื่องต่างก็ต้องเดินอ้อมผ่านเขา
แต่หลินหยังไม่มีทางเดินอ้อมผ่านเขาจริงๆ จึงได้แต่เดินไปอย่างจำใจ และคอนเฟิร์มกับลู่เซิ่นเอง: “ประธานลู่ครับ หลังจากเครื่องบินลงจอด จะเตรียมคนขับกลับไปที่รีสอร์ทชินหยวนโดยตรง หรือว่า……….”
สีหน้าของลู่เซิ่นมีความหงุดหงิดแวบเข้ามา แต่ก็ยังเปิดปากพูดอย่างไม่เต็มใจ: “ให้คนขับเตรียมตัวไว้ เดี๋ยวฉันเข้าไปทักทายกับหลินยี่เสร็จก็กลับเลย”
เขาย่อมอยากจะติดปีกบินกลับไปที่รีสอร์ทชิงหยวนเดี๋ยวนี้อยู่แล้ว แต่เขาก็รู้ ต้องจัดการเรื่องของที่นี่ให้เสร็จสิ้นก่อนถึงจะได้
คนเราย่อมมีเรื่องที่ไม่อาจทำตามใจ ตนเองอยู่เสมอ
ในใจเขาหงุดหงิดสุดๆ หลินหยังได้คำตอบ ย่อมหลบไปอยู่ข้างๆอย่างดูสถานการณ์เป็น เพื่อจะได้ไม่ถูกเขาเห็นเป็นเป้ายิงที่ใช้มาระบายอารมณ์
เพียงแต่ ไม่นานเครื่องบินก็ได้ลงจอดจริงๆแล้ว
พ่อบ้านของตระกูลลู่ยืนรอเขาอยู่ที่ไม่ไกล ก้มหน้าอย่างเคารพไว้: “คุณชายลู่ครับ”
ลู่เซิ่นพยักหน้าอย่างพอเป็นพิธี ขมวดคิ้วและหันไปพูดกับคนข้างหลัง: “คุณยังไม่เร็วเข้าอีก?”
เวินจิ้งตอบ หลังจากผ่านไปหลายวิถึงได้หิ้วกระเป๋าเดินออกมา
เธอเพิ่งเดินลงมาจากเครื่องบิน ก็ถูกลู่โยวโยวที่รู้ข่าวลู่เซิ่นกลับมาและได้มาอย่างเร่งรีบพบเข้าอย่างจัง
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ไม่นานก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคือใครแล้ว
ลู่โยวโยวที่อยู่ในคลิปเสียงยโสโอหัง จะยังไงก็เป็นลูกสาวของตระกูลลู่ ทีนี้พอเผชิญหน้ากับเวินจิ้ง จะเป็นคนปากร้ายอีกก็คงไม่ดี ได้แต่ฝืนยิ้มและพยักหน้าให้เธอ
เวินจิ้งก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าคนๆนี้ก็คือคนที่ตะโกนเสียงดังใส่เธอในคลิปเสียง เพียงแต่เธอก็ไม่ได้เกลียดลู่โยวโยวอะไรหรอก เพราะยังไงซะเธอดูแล้วเป็นห่วงหลินยี่จริงๆ
คนที่เป็นห่วงพี่ชายตัวเองจริงๆ เวินจิ้งจะเกลียดได้ยังไง
ดังนั้นรอยยิ้มที่เธอมีให้ลู่โยวโยวจึงค่อนข้างที่จะจริงใจ แถมยังเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน: “สวัสดีค่ะ”
เพียงแต่ลู่เซิ่นไม่มีอารมณ์ดูคลื่นใต้น้ำของระหว่างผู้หญิงสองคนนี้หรอก เดินไปหลายก้าว พบว่าเธอสองคนไม่ได้เดินตามมาด้วย ยังหันมาเร่งรัดอย่างรำคาญ: “ไปสิ”
เดิมทีเวินจิ้งก็ปรารถนาอยากเจอพี่ชายตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้ยกเท้าเดินเข้าไปข้างในอย่างพายเรือตามน้ำ
ลู่โยวโยวก็ย่อมเดินตามไปติดๆอยู่แล้ว
ฝีเท้าของลู่เซิ่นทั้งก้าวยาวและเร่งรีบ ไม่คิดจะรอผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างหลังเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงถึงหน้าห้องของหลินยี่ก่อนพวกเธอ
อู๋ชิงได้รออยู่ที่หน้าห้องแล้ว ประตูของห้องก็เปิดอยู่ เขายื่นคอดูด้านหลังของลู่เซิ่น แค่ดูก็รู้ว่ารอเวินจิ้งอยู่
ลู่เซิ่นไม่คิดจะพูดจาไร้สาระกับเขา เพียงแค่เดินผ่านเขาโดยตรงและเข้าไปในห้อง
หลินยี่เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นเขา ก็ไม่ได้ประหลาดใจมาก แค่ยักคิ้ว: “น้องสาวฉันล่ะ?”
“อยู่ข้างหลัง” ลู่เซิ่นตอบอย่างไว เหมือนไม่อยากสิ้นเปลืองแม้แต่วินาทีเดียว เขาเปิดปากพูด: “คนก็พามาให้นายแล้ว เรื่องแต่งงานก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน ฉันมีเรื่องเร่งด่วน จัดการเสร็จค่อยว่ากัน”
หลินยี่หัวเราะ: “นายพอเหอะ ดูก็รู้ว่าน้องสาวฉันก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับนายเท่าไหร่หรอก นายมีเรื่องเร่งด่วนอะไร? ฉันได้ยินมาว่า แม้แต่ข้าวเย็นนายก็ยังไม่ได้ทานก็รีบกลับมาแล้ว”
ลู่เซิ่นเม้มปาก คำพูดที่อัดอั้นมาตลอดทางสุดท้ายก็อยากหาที่ระบายอยู่ ก็เลยขมวดคิ้วพูดขึ้นมา: “ฉินซีหายตัวไป”
ครั้งนี้สีหน้าของหลินยี่ก็ค่อนข้างที่จะประหลาดใจ: “หายตัวไป?”
ลู่เซิ่นยังอยากอธิบาย แต่ที่ไม่ไกลมีเสียงฝีเท้าก้องมา เห็นได้ชัดว่าเวินจิ้งกับลู่โยวโยวมาแล้ว
เขาจึงได้กลืนคำพูดที่อยากพูดลงไป และส่ายหัวเบาๆ: “คราวหน้ามีโอกาสแล้วค่อยพูดเถอะ นายก็ใช้เวลาอยู่กับน้องสาวนายดีๆเถอะ แค่รู้ข่าวนี้ก็พอแล้ว”
หลินยี่ย่อมไม่พูดเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว แต่ก็ยังได้พยักหน้า
ระหว่างพูด เวินจิ้งกับลู่โยวโยวได้เดินมาถึงที่หน้าห้องแล้ว
ลู่เซิ่นได้พูดเรื่องที่ต้องมอบหมายหมดแล้ว คนก็ได้พามาที่ตรงหน้าแล้ว ถือว่ามีเวลาไปทำเรื่องของตัวเองสักที ดังนั้นจึงไม่ได้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หันหลังก็เดินไปทางประตูเลย
ตอนที่เขาเดินออกมา เจอเวินจิ้งที่อยู่หน้าห้องพอดี
เวินจิ้งกลับเหมือนไม่เห็นเขาที่ตัวใหญ่และตัวเป็นๆยังไงอย่างงั้น จ้องจนตาอึ้งค้างไว้ มองเข้าไปในห้องอย่างอึ้ง และพูดพึมพำ: “พี่หลินยี่……….”
ลู่เซิ่นรู้ว่าตอนที่หลินยี่เพิ่งถูกช่วยขึ้นมาคือหน้าตายังไง หายใจโรยริน ทั้งตัวเต็มไปด้วยสายออกซิเจน ดังนั้นตอนนี้เลยรู้สึกว่าเขาดีขึ้นมากแล้ว
แต่อยู่ในสายตาของเวินจิ้ง หน้าตาของหลินยี่ก็ยัง…….อ่อนเพลียมากอยู่ดี
ดังนั้นถึงได้ไม่รู้จะรับมือยังไง
หลินยี่ที่อยู่ข้างในได้ยินเสียงของเวินจิ้ง เขาได้เรียกด้วยเสียงอ่อนโยน: “เสี่ยวจิ้ง? เธอได้ยินได้แล้ว? เข้ามาเถอะ!”
เวินจิ้งเดินเข้าไปอย่างเบลอๆ
ลู่เซิ่นเห็นฉากที่เขาสองพี่น้องพบหน้ากันอีกครั้งโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เขาสองคนน่าจะมีเรื่องคุยกันไม่น้อย ดังนั้นจึงได้เดินออกไปโดยตรง และดึงลู่โยวโยวที่คิดจะเดินเข้าไปในห้องด้วย พร้อมพูดเสียงต่ำ: “เธอเพลาๆหน่อย! พี่น้องเขาคุยเรื่องส่วนตัวกัน เธอไปแจมอะไรด้วย”
ลู่โยวโยวถูกเขาว่าแบบนี้ปุ๊บ แก้มค่อนข้างแดงก่ำ แต่สุดท้ายก็ได้เชื่อฟังโดยดี ไม่ได้เบียดเข้าไปในห้องต่อ
ทีนี้ลู่เซิ่นถึงได้ปล่อยมือ และก้าวเท้ายาวเดินออกไปนอกห้อง
เขาจะกลับไปที่รีสอร์ทชิงหยวนเดี๋ยวนี้
เรื่องที่ฉินซีหายไปจากโลกของตัวเอง เขาทนไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
………………….
พ่อบ้านของรีสอร์ทชิงหยวนก็รออยู่ที่หน้าประตูตั้งนานแล้ว
เขาได้ยินเรื่องที่ฉินซีหายตัวไปจากหลินยี่แล้ว ทีนี้สีหน้าก็แฝงด้วยความกังวลใจ เห็นรถของลู่เซิ่นก็ได้เดินไปต้อนรับ
แม้แต่รถก็ยังจอดไม่สนิท ลู่เซิ่นก็ได้เปิดประตูเองและเดินลงมาแล้ว
ทั้งสองคนสบตากัน มองดูสีหน้าแววตาที่ร้อนรนใจของฝ่ายตรงข้าม ได้ถอนหายใจอยู่ในใจลับๆทีหนึ่ง
“เข้าไปคุยข้างในเถอะ” ในท้ายที่สุดลู่เซิ่นก็ได้เปิดปากพูด
พ่อบ้านพยักหน้าและเดินตามลู่เซิ่นเข้าไปในบ้าน