บทที่ 1167 สาเหตุที่ไม่ต้อนรับตัวเอง
แต่ความเป็นห่วงของลู่เซิ่นถูกขัดจังหวะอีกครั้ง
“ประธานลู่ครับ” หลินหยังเดินมา “รถมาถึงแล้วครับ”
ความคืบหน้าของตอนเช้าราบรื่นกว่าที่ลู่เซิ่นคาดการณ์ไว้ แต่พอโทรศัพท์ไปหลายสาย ก็ได้เวลาพอสมควรแล้ว
ลู่เหวยกับสูหยิงมาที่เมืองหนาน เขาจำต้องกลับไปทานข้าวเที่ยงที่บ้านใหญ่ จากนั้นก็ต้องไปคำฟังไต่สวนที่ศาล
แต่ครั้งนี้ เขาได้ผายมือปฏิเสธ
หลินหยังพยักหน้า เดินไปบอกให้คนขับรอสักพัก
ลู่เซิ่นหาเบอร์โทรของอานหยันเจอในรายการบันทึก จึงได้โทรออกไปอย่างไม่ลังเล
เหมือนเป็นการก๊อปปี้เหตุการณ์ชัดๆ โทรไม่ติดเหมือนกัน เสียงเย็นชาเหมือนกัน “หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง”
ไม่รู้เพราะอะไร ได้ยินเสียงที่เหมือนๆกัน ลู่เซิ่นกลับสบายใจขึ้นเยอะเลย
ทั้งสองต่างก็ไม่รับสายพร้อมกัน คงจะทำเรื่องอะไรอยู่ด้วยกัน ไม่อยากถูกรบกวนมั้ง
ลู่เซิ่นคิดแบบนี้ไปด้วย และเก็บมือถือไปด้วย
แต่ในใจก็ยังมีความสงสัยอยู่เสี้ยวหนึ่ง
หลินหยังเดินมาอีก และพูดเสียงต่ำ: “ประธานลู่ครับ ที่นี่จอดรถนานไม่ได้ครับ”
ลู่เซิ่นได้แต่พยักหน้า และเดินไปยังทิศทางของรถ
………………………
ตอนเย็น ที่ศาล คดีของเวินจิ้งได้เปิดศาลตรงตามเวลาแล้ว
ลู่เซิ่นดูเวลาแล้วเข้าไปในศาล
มู่วี่สิงถึงตั้งนานแล้ว เขานั่งอยู่หน้าสุด ดวงตาทั้งคู่จ้องมองประตูหลังไว้ เหมือนกับว่าอยากจะทะลุประตูมองเห็นเวินจิ้งที่อยู่ข้างใน
ลู่เซิ่นรู้ว่าเขาต้องคิดวิธีที่ช่วยเวินจิ้งล้างมลทินไว้แล้วแน่ๆ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด เดินไปนั่งที่ข้างกายเขาอย่างช้าๆ และพูดทักทายอย่างเอื่อยเฉื่อย “ประธานมู่”
มู่วี่สิงไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง เขาแค่ “อืม”คำเดียวก็ถือได้ว่าตอบแล้ว
ลู่เซิ่นย่อมรู้สาเหตุที่เขาไม่ต้อนรับตัวเองอยู่แล้ว
คิดถึงใจเขาใจเรา ถ้าฉินซีกำลังจะไปกับผู้ชายคนอื่น ลู่เซิ่นไม่ต่อยเขา แต่ยังสามารถนั่งแถวเดียวกับฝ่ายตรงข้ามได้อีก นี่ก็คือปาฏิหาริย์แล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถือสามู่วี่สิง ก็ได้หันหน้ากลับมาเลย
ประตูของศาลได้เปิดออกแล้ว ผู้พิพากษาเดินเข้ามา และประกาศเปิดศาล
เวินจิ้งถูกพาเข้ามาจากอีกฝั่งหนึ่ง
พริบตาเดียว ลู่เซิ่นแทบจะรู้สึกได้ถึง ความทรงอำนาจของผู้ชายที่อยู่ข้างกายได้เปลี่ยนไป เขาหันไปมองมู่วี่สิงทีหนึ่ง พบว่าสายตาที่เดิมทีก็ใจจดใจจ่ออยู่แล้ว นาทีนี้ยิ่งใจจดใจจ่อขึ้นไปอีก ราวกับว่าโลกใบนี้เขาสามารถเห็นเวินจิ้งแค่คนเดียว
………………….ทีอย่างนี้มาทำท่าทีแบบนี้ แล้วก่อนหน้านั้นมัวแต่ไปทำอะไรอยู่
ลู่เซิ่นแอบนินทาอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็ได้ไว้หน้าเขา ไม่ได้พูดออกมา
#กระบวนการของการไต่สวนไม่ว่าประเทศFหรือเมืองหนาน ก็เหมือนๆกัน ลู่เซิ่นฟังแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย อาศัยแปลกใจที่มู่วี่สิงจะช่วยเวินจิ้งยังไงกันแน่ จึงได้พยายามรักษาความอดทนไว้
เดิมทีเขานึกว่า มู่วี่สิงมากสุดก็แค่ทำเหมือนเขา แค่กดขี่ข่มเหงผู้พิพากษาและคณะลูกขุนเฉยๆ แต่พอถึงขั้นตอนยื่นพยาน เขากลับตกใจมาก
——เขาคิดไม่ถึง เพื่อเวินจิ้งแล้ว มู่วี่สิงจะแบกรับความผิดไว้คนเดียว
เวินจิ้งถูกตัดสินความผิดเพราะคลิปตัดต่อของบ้านหลิง ดูจากในคลิป เวินจิ้งก็คือผู้ร้ายที่ทำร้ายหลิงเหยาจนตาย
ไม่นึกเลยว่ามู่วี่สิงจะให้คลิปของอีกมุมหนึ่ง พอดูคลิปสองคลิปรวมกัน ผู้ร้ายไม่ใช่เวินจิ้ง แต่กลายเป็นมู่วี่สิงเอง
สามารถบอกได้ว่า ทุกคนในศาลต่างก็ตะลึงกับหลักฐานที่มาอย่างกะทันหัน
บนที่นั่งฟังพิจารณาคดีมีเสียงหายใจจากปากด้วยความตื่นตกใจดังขึ้น ส่วนเวินจิ้งยิ่งแล้วใหญ่ได้หันมาจ้องมองมู่วี่สิงที่อยู่ข้างกายของลู่เซิ่น
เห็นคลิปนี้ เธอย่อมเลยว่าคนที่ช่วยเธอล้างมลทินไม่ใช่ลู่เซิ่น แต่เป็นมู่วี่สิง
มีแต่สีหน้าของมู่วี่สิงเหมือนอย่างเคย ราวกับว่าคนในคลิปไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา
ลู่เซิ่นมองสีหน้าที่สงบนิ่งของเขา จู่ๆก็เข้าใจวิธีกระทำของมู่วี่สิง
ถ้าฉินซีนั่งอยู่ที่ตรงนั้น……..เกรงว่าการกระทำของเขาจะโอเวอร์กว่ามู่วี่สิงเสียอีก
วิธีที่ช่วยเวินจิ้งล้างมลทินมีเยอะมากมายก็จริง แต่นี่เป็นวิธีที่เด็ดขาดที่สุด
บ้านหลิงอยากได้นักโทษคนหนึ่ง งั้นมู่วี่สิงก็ให้ตัวเองเป็นนักโทษคนนั้น บ้านหลิงอยากทำอะไรเวินจิ้งก็สามารถทำได้ แต่ไม่สามารถลงมือกับเขาแน่นอน
มีแค่แบบนี้ ถึงจะสามารถดึงเวินจิ้งออกมาจากเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง
แต่ลู่เซิ่นก็ยังรู้สึกตลกอยู่ดี
เวินจิ้งก็จะไปอยู่แล้ว อยู่เมืองหนานบ้านหลิงถึงจะแผลงฤทธิ์แค่ไหน อยู่ในประเทศFก็ยากที่จะแสดงฤทธิ์เด็ดออกมา ก็มีแค่มู่วี่สิงที่ละเอียดขนาดนี้ ดันจะปกป้องเวินจิ้งอย่างรอบคอบขนาดนี้
………………..แต่ว่า ไม่แน่เขาอาจจะแค่อยากใช้วิธีนี้ สร้างความประทับใจที่ลึกซึ้งให้เวินจิ้งมั้ง?
นี่ก็เป็นเรื่องที่มู่วี่สิงทำได้ลงคอจริงๆ
ลู่เซิ่นมองเวินจิ้งที่ถลึงตามองมู่วี่สิงด้วยความโกรธ แล้วมองมู่วี่สิงที่มองเวินจิ้งอย่างเรียบเฉย ในใจรู้สึกอย่างเลือนรางว่าเรื่องราวของพวกเขาไม่จบลงเพียงเท่านี้แน่
แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาแล้ว
เขาไม่มีอารมณ์ไปสอดรู้สอดเห็นชีวิตที่ลุ่มหลงของคนอื่นหรอก เขาแค่อยากจบทั้งหมดนี้ไวๆ กลับไปที่เมืองAเร็วๆ และกอดฉินซีไว้แน่น
ระหว่างที่เขาใจลอย รูปแบบของศาลได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว
คลิปวิดีโอที่มู่วี่สิงนำมากลายเป็นหลักฐานสำคัญที่พลิกผันสถานการณ์ ศาลได้ประกาศว่าเวินจิ้งไม่มีความผิดและปล่อยตัวในทันที ส่วนมู่วี่สิงที่นั่งอยู่ที่เตะตาที่ผู้เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง และถูกจับกุมตัวในทันที
การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องนี้ คนของบ้านหลิงก็คาดการณ์ไม่ถึงเช่นกัน ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นมู่วี่สิงที่สีหน้าเรียบเฉยใส่กุญแจมือเดินมา
พวกเขารู้อยู่แล้ว ถึงจะสามารถขังมู่วี่สิงได้สักพัก แต่ก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้จริงๆ
เพียงแต่พวกเขาก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ตอนที่ผู้พิพากษาประกาศว่าพักศาล วันหลังค่อยไต่สวนความผิดของมู่วี่สิง พวกเขาก็ได้จากไปอย่างกราดเกรี้ยว ได้ยินผู้คนที่อยู่ในศาลก็ทยอยกันกลับหมดแล้ว ลู่เซิ่นเดินตามหมู่คนออกไป ได้เจอเวินจิ้งอยู่ที่ด้านนอกตามที่คาดการณ์ไว้
“ฉันจะไปเจอมู่วี่สิง!” ตอนที่เจอหน้ากันสองครั้ง ความสงบที่คุ้นชินอยู่ในใบหน้าของเวินจิ้งได้จางหายไปจนหมดแล้ว เธอเห็นลู่เซิ่นปุ๊บ ก็ได้พุ่งเข้ามาหาอย่างไว จับเสื้อผ้าของลู่เซิ่นไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ลู่เซิ่นไม่ชินกับการใกล้ชิดคนอื่นมากขนาดนี้ แอบถอยหลังเล็กน้อย และถึงพูดขึ้นมาว่า: “คุณบอกจะเจอ ผมก็ต้องพาคุณไปเจอเหรอ?”
เวินจิ้งเม้มปาก เปิดปากพูดอย่างกับว่าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว: “คุณพาฉันไปพบเขา ฉันจะไปจากเมืองหนานพร้อมคุณเดี๋ยวนี้ ไปที่ประเทศF ถ้าจะแต่งงาน…….ฉันก็จะรับปาก”
ลู่เซิ่นหัวเราะเยาะทีหนึ่ง: “ฟังดูแล้ว คนที่ไม่รู้ ยังนึกว่าแต่งงานกับผมเป็นเรื่องที่ทรมานมากแค่ไหนเชียว ผมจะบอกคุณนะ คนที่อยากแต่งงานกับผมมีเยอะแยะถมเถไป”
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเวินจิ้งใจร้อนแล้ว เธอรีบถาม: “งั้นคุณจะให้ฉันทำอะไร?”
เดิมทีลู่เซิ่นก็แค่แกล้งเธอเล่นเฉยๆ เพราะยังไงซะก็เป็นน้องสาวของหลินยี่ เขาไม่มีทางทำอะไรเธอจริงๆหรอก จึงได้แต่แกล้งทำเป็นนิ่งไปหลายวินาที ถึงพูดว่า: “รอให้ผมนึกออกแล้วค่อยว่ากันเถอะ คุณเดินตามผมดีๆล่ะ พวกเราไปพบสามีเก่าของคุณเดี๋ยวนี้เลย”
เวินจิ้งเหมือนกลัวเขาจะกลับคำพูดยังไงอย่างงั้น รีบพยักหน้าตอบตกลง