บทที่ 1162 ลางสังหรณ์ที่ย่ำแย่สุดๆ
สีหน้าของเหยาหมิ่นแย่ซะจนเหมือนกับตัวเองกำลังประสบภัยแผ่นดินไหว
เธอยื่นมือชี้ไปที่หน้าจอทีวี เสียงสั่นคลอน:” ลูกจะไปที่นั่นไม่ใช่หรือ? ที่นั่นเป็นเขตที่ถูกแผ่นดินไหวกระทบ ยังมีอีกอาจจะมีอาร์ฟเตอร์ช็อคตามมาอีกด้วย………”
” แม่คะ” ฉินซีขัดคำพูดเธอ” ล้วนเป็นแค่อาจจะเท่านั้นเอง ยังไงซะไม่ใช่จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว ถูกกระทบไม่มากนัก แม่สบายใจเถอะค่ะ ได้ไหมคะ? “
เหยาหมิ่นกลับไม่พูดไม่จา เพียงแค่มองหน้าเธอแบบลึกๆ แล้วก็หันหลังจากไปแล้ว
ฉินซีรู้สึกว่าสายตาของแม่แบบนี้มีความหมายลึกๆอย่างอื่นแฝงด้วย แต่ว่าเห็นสัมภาระที่ยุ่งเหยิงกองอยู่เต็มพื้น เธอตัดสินใจเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยไปคุยกับเหยาหมิ่น
ต่อมาเธอต้องคิดแน่ๆ ถ้าหากขณะนี้ไม่คิดทบทวนเก็บสัมภาระที่น่าขำอะไรนั่นก่อน แต่กลับไปคุยกับเหยาหมิ่นให้รู้เรื่องก่อน ทุกอย่างจะแตกต่างกันใช่ไหม?
เพียงแต่ว่าในโลกนี้ไม่เคยเอื้ออำนวยโอกาส”ถ้าหาก”แบบนี้
เพราะฉะนั้นรอเธอเก็บสัมภาระเรียบร้อย ค่อยผลักประตูห้องนอน เหยาหมิ่นไม่อยู่ในห้องรับแขกแล้ว
เธอคิดอยู่สักพัก เคาะประตูห้องนอนเหยาหมิ่นเบาๆ:” แม่คะ?”
เวลาไม่ดึกและไม่เช้า เธอไม่แน่ใจว่าเหยาหมิ่นหลับหรือยัง
ข้างในไม่มีคนตอบรับ
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้การพักผ่อนของเหยาหมิ่นไม่ค่อยดีนัก ฉินซีกลัวว่าตัวเองจะรบกวนเธอ ก็เลยไม่ได้เคาะประตูห้องอีกครั้ง หันหลังกลับไปที่ห้องนอนตัวเอง
ขณะที่หันหลัง หนังตาของเธอกระตุกแรงๆหนึ่งครั้ง เหมือนกับว่าเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
แต่ว่าลางสังหรณ์แบบนี้กลับหายไปในพริบตาเดียว ถึงขั้นทำให้ฉินซีรู้สึกว่าเป็นแค่ภาพลวงตาของตัวเองเท่านั้น
เธอส่ายหน้า และปิดประตูห้องนอนตัวเอง
เช้าตรู่อีกวัน ฉินซีก็ตื่นนอนแล้ว
โรงนิตยสารไม่ใช่เจ้าของที่ร่ำรวยอะไร ตั๋วที่จองให้กับเธอก็แค่ตั๋วเครื่องบินตอนเช้าที่ลดราคา ฉินซีไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ได้แต่ตื่นนอนอย่างไม่กลัวความยากลำยากแสนเข็ญ
ความจริงแม้แต่ชั้นธุรกิจเธอก็ยังไม่เคยนั่งด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชั้นประหยัดราคาถูก
แต่ว่านี่เป็นความเป็นอยู่ที่เธอเลือกเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรต้องบ่น
เวลาเช้าเกินไป ห้องนอนของเหยาหมิ่นยังคงปิดไว้อย่างสนิท ฉินซีล้างหน้าล้างตาแบบเบาๆ ลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านไป
เธอกะจะหาอะไรทานเรื่อยเปื่อยในร้านสะดวกซื้อที่ใต้ตึกเพื่อเป็นอาหารเช้า และเรียกรถยนต์ไปที่สนามบินด้วย
สุดท้ายมือถือสั่นสะเทือน เป็นข่าวที่ไฟล์บินดีเลย์
อยู่ดีๆก็ว่างตั้งหลายชั่วโมง ฉินซีจึงรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา
เวลาเช้าเกินไป ตั้งนานสองนานแล้วในโปรแกรมการเรียกรถยนต์ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ดีนะฉินซีออกจากบ้านเช้ามาก คราวนี้ก็เลยไม่รีบร้อน จึงหันหลังซื้อน้ำเต้าหู้มาขวดนึง และกะจะรออีกสักครู่
น้ำเต้าหู้ที่บรรจุเป็นในขวดแก้ว ฉินซีเปิดฝาออกมาไม่ได้ พนักงานในร้านสะดวกซื้อจึงยื่นมือช่วยเหลือเธอเปิดฝาขวดอย่างแคล่วคล่อง เสียบหลอดดูดเข้าไป ทางนึงยื่นให้กับฉินซี อีกทางก็ต้อนรับลูกค้าที่เพิ่งเข้ามา
ทางนึงฉินซีก้มหน้าก้มตาดูโปรแกรมเรียกรถยนต์ที่ไม่มีคนตอบรับ อีกทางก็อยากยื่นมือไปรับมา
ทั้งคู่ไม่ได้ดูขวด เพราะฉะนั้นฉินซียื่นมือกดตำแหน่งผิดพลาด เพียงแค่หลังมือสะกิดขวดแป๊บเดียว ส่วนพนักงานคิดว่าเธอจับไว้แน่นๆแล้ว เพราะฉะนั้นจึงปล่อยมือแบบเด็ดขาด
——ปั้ง
ฉินซีถูกเสียงดังจนทำให้ตกใจ เงยหน้าขึ้นมาปุ๊บ ถึงพบกับความพินาศตรงหน้า
น้ำเต้าหู้ที่บรรจุเต็มขวดตกลงไปบนพื้น น้ำเต้าหู้กระเด็นไปทั่ว ส่วนแก้วก็แตกกระจัดกระจาย
พนักงานที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปไม่ได้ถูกกระทบ แต่ว่าฉินซีไม่ได้โชคดีนะสิ
ขวดแก้วตกอยู่ตรงหน้าเธอพอดีเป๊ะ เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าครึ่งนึงเปียกชื้นไปหมดไม่ว่า หลังเท้ายังถูกแก้วที่กระเด็นขึ้นมาบาดเท้าจนได้รับบาดเจ็บ
เธอมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าแบบเบอลๆ พูดไม่ถูกว่าเพราะอะไร จู่ๆในหัวใจก็ว่างเปล่า
ลางสังหรณ์ที่ย่ำแย่สุดๆ
พนักงานรีบออกมาขอโทษ และยื่นกระดาษแบบวุ่นวายเพื่อให้เธอเช็ดเสื้อผ้า และยังเปิดนมให้กับเธออีกขวด
ฉินซีได้แต่รับมา
เพียงแต่ว่าน้ำเต้าหู้มีน้ำตาล ยิ่งเช็ดยิ่งไม่สะอาด มีความรู้สึกว่าสัมผัสแล้วมันเหนียวเหนอะหนะ
ฉินซีกำลังลังเลว่าจะลากกระเป๋าเดินทางกลับไปเปลี่ยนชุดรึเปล่า จู่ๆมือถือก็ดังขึ้นมา
เธอยังคิดว่ารถยนต์ที่ตัวเองเรียกมาแล้ว แต่ว่ามือเธอกำลังยุ่งเหยิง เพราะฉะนั้นกะจะผ่านไปสักพักค่อยรับสาย
แต่ว่าเสียงกริ่งมือถือกลับดังแบบไม่หยุดไม่หย่อน
ฉินซีขมวดคิ้ว ในที่สุดก็วางกระดาษในมือ และล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋า
มองดูหน้าจอ เธอขมวดคิ้วแน่นขึ้น
——ที่โทรมา เป็นเหยาหมิ่น
ทำไมเหยาหมิ่นถึงได้โทรศัพท์มา?
มือของฉินซีกระตุกเล็กน้อย
เธอไม่กล้าเสียเวลาอีกแล้ว รีบเลื่อนออกมารับสายทันที
“ฉินซี?” เหยาหมิ่นเหมือนกับคิดไม่ถึงว่าฉินซีจะรับสาย น้ำเสียงยังมีความสงสัยเล็กน้อย
“แม่คะ?” ฉินซีฟังแบบรวบรวมสติอยู่หลายวินาที ขมวดคิ้วขึ้นมา “แม่อยู่ไหนคะ? ทำไมลมแรงจังคะ?”
“ลูกหล่ะถึงสนามบินรึยัง?” เหยาหมิ่นไม่ตอบ กลับถามกลับ
ในใจฉินซีมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างแบบพูดไม่ออก ก็เลยส่งสัญญาณให้กับพนักงานช่วยดูกระเป๋าเดินทางของเธอหน่อย และหันหลังเดินไปทางหน้าประตู
“แม่อยู่ไหนกันแน่คะ?” ฉินซีก็ไม่ตอบ ถามกลับไปคำนึง
เหยาหมิ่นกลับหัวเราะเบาๆ
“ลูกน่าจะถึงสนามบินแล้วนะ” เสียงของเหยาหมิ่นปะปนกับเสียงลม เบอลๆเล็กน้อย ฉินซีต้องตั้งสมาธิดีๆถึงจะได้ยินอย่างชัดเจน ” หากว่าเครื่องบินยังไม่ได้บิน ลูกก็กลับมาเถอะ”
ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจของฉินซียิ่งหนักหนาเข้าไปใหญ่ เธอวิ่งไปทิศทางบ้านตัวเอง:” แม่คะ? เป็นอะไรกันแน่คะ?”
เสียงของเหยาหมิ่นอยู่ในลมเสียงเบามากเลยทีเดียว หัวใจของฉินซีแขวนอยู่บนเส้นด้ายชัดๆ:” ฉินซี ลูกเลือกแม่ และตัดขาดกับพ่อของลูก ละทิ้งชีวิตความเป็นอยู่ของเมื่อก่อน ออกมาลำบากลำบนกับแม่ที่ข้างนอก แม่ซาบซึ้งใจมากเลยจริงๆ แต่ก็รู้สึกว่าผิดต่อลูกมาก”
ฉินซีวิ่งจนหอบเหนื่อย น้ำเสียงก็ไม่ค่อยดีนัก:” แม่พูดอะไรอ่ะ หนูพูดไปหลายครั้งแล้วนะ? อย่าพูดว่าขอโทษวันข้างหน้าเราจะพยายามไปด้วยกัน”
“ฉินซี” ครั้งนี้เหยาหมิ่นน่าจะฟังคำพูดของเธอเข้าหูแล้ว หัวเราะแบบน่าสงสาร “แต่ว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าแม่ ลูกก็ไม่จำเป็นต้องทนลำบากขนาดนี้ ไม่ใช่หรือ?”
ฉินซีถูกเธอพูดซะจนใจร้อน แล้วก็คิดถึงลมที่พัดอย่างรุนแรงซึ่งดังออกมาจากสายทางโน้น ในใจมีความคาดเดาที่น่ากลัวบางอย่างออกมาอย่างเบอลๆ เธอไม่ตอบคำถามของเหยาหมิ่นอีกแล้ว แต่กลับถามไปแบบตรงไปตรงมาว่า:” แม่คะ แม่อยู่บนยอดตึกใช่ไหมคะ?”
เหยาหมิ่นหยุดนิ่งไปหลายวินาที ไม่ได้ตอบกลับทันทีทันใด
แต่ว่าฉินซีเข้าใจนิสัยของเธอดีที่สุด
การแสดงออกแบบนี้ ก็คือยอมรับแบบเงียบๆ
เธอหดหู่ใจมากเลยทีเดียว น้ำเสียงก็เร็วมากขึ้นอีกด้วย:”แม่คะ แม่อย่าทำเรื่องโง่ๆได้ไหมคะ? ฉินซึ่งเทียนทำเรื่องที่ยิ่งกว่าหมูหมากาไก่แบบนั้น หนูไม่ได้นับถือเขาเป็นพ่อของหนูอีกแล้ว และตัดขาดกับบ้านตระกูลฉินแล้วด้วย หากว่าแม่ยังจากหนูไปอีกคน หนูก็คือเด็กกำพร้าแล้ว แม่คะ แม่ใจเย็นๆหน่อยได้ไหมคะ? คิดดูสิคะ ยังมีหนู แม่ยอมทิ้งหนูไว้คนเดียวหรือคะ?”