บทที่ 1145 การเริ่มต้นของฝันร้ายอีกอย่างหนึ่ง
ความทรงจำต่อมา ที่จริงฉินซีพอจำได้อยู่บ้าง เพียงแต่ว่าก่อนหน้านั้นตอนที่นึกย้อนกลับไป มักจะรู้สึกว่าเหมือนมีผ้าบาง ๆ มาคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน
แต่ว่าในที่สุดตอนนี้ก็รู้สาเหตุแล้ว
ตรงส่วนที่มัวหม่นเหล่านั้น ก็เป็นเพราะว่าเธอดูแลเหยาหมิ่นไปด้วย และสืบค้นเรื่องของฟางฟางไปด้วยจึงทำให้เกิดขึ้น
เธอจำเรื่องทุกอย่างของเหยาหมิ่นได้ แต่เรื่องของ ฟางฟางกลับโดนความทรงจำลบทิ้งไป เพราะฉะนั้นความทรงจำทั้งหมดถึงได้ดูเว้าๆ แหว่ง ๆ ขาดหายไม่ครบถ้วน
แต่ว่าตอนนี้ ผ้าบาง ๆ ที่คลุมอยู่ตรงหน้าได้โดนเปิดออกแล้ว ในที่สุดเธอก็สามารถมองเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เหยาหมิ่นนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลไปสามวัน
นอกจากตัวฉินซีเองและคนภายในองค์กรแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นรู้เรื่องที่เธอช่วยองค์กรทำงาน เพราะฉะนั้นถึงแม้จะเป็นเหยาหมิ่นหรือว่าอานหยัน ต่างก็ไม่รู้ว่าส่วนตัวเธอยังมีงานพิเศษอีกอย่างหนึ่ง
เมื่อก่อนไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันยังดี แต่ตอนนี้ฉินซีเกือบจะต้องตัวติดกันเพื่อดูแลเหยาหมิ่น ก็เลยหาโอกาสที่จะสืบค้นแบบหลบเลี่ยงผู้คนไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงได้แต่รอให้เหยาหมิ่นหลับสนิทไปแล้ว เธอถึงจะสามารถตั้งใจสืบค้นเรื่องของฟางฟางได้
ภายในเวลาสามวัน เธอแทบจะไม่ได้นอนเลย เพราะฉะนั้นพอเวลาสามวันผ่านไป ตัวเธอทั้งตัวก็ดูอ่อนล้าไปมากทีเดียว
เหยาหมิ่นเห็นอยู่ในสายตา ก็นึกว่าเธอต้องดูแลตัวเองถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงวันที่สาม ก็ดื้อดึงร้องขอจะออกจากโรงพยาบาลให้ได้
ฉินซีรู้ว่า เขานั้นเป็นห่วงตัวเอง และก็เพราะว่าสถานการณ์เงินของทั้งสองคนรองรับไม่ไหว เพราะฉะนั้นถึงได้ยืนกรานเฉียบขาดขนาดนี้
ยังดีที่หลังจากที่หมอมาตรวจร่างกายอย่างละเอียดดูแล้ว ก็พูดว่าเขาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากแล้ว สามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้
รอหมอสั่งกำชับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินซีจึงถือข้าวของและพาเหยาหมิ่น เข้าไปอยู่อาศัยบ้านที่ให้อานหยันช่วยพวกเขาเช่าไว้ด้วยกัน
และฉินซีก็ได้ใช้ช่วงเวลาหลายคืนมานี้ สืบค้นสถานการณ์ของฟางฟาง แล้ว
ตามคำพูดที่อานหยันพูดมา บ้านนี้เป็นของเพื่อนเธอคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ส่วนใหญ่ไปทำงานอยู่ต่างประเทศ เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้ก็ปล่อยว่างมาตลอด ก็เลยปล่อยเช่าในราคาที่ต่ำมากเพื่อสามารถปล่อยเช่าออกไปก็พอ
ฉินซีไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นมีกี่ส่วนจริงกี่ส่วนปลอม แต่ว่าบ้านชุดที่อยู่ตรงหน้านี้นั้น สภาพเป็นอย่างที่ไม่มีคนอยู่อาศัยและทำความสะอาดมานานแล้วจริง ๆ
สำหรับฉินซีที่อยู่คฤหาสน์หลังเดี่ยวมาตั้งแต่เด็กมาพูดแล้วนั้น บ้านนี้ถือได้ว่าเล็กมากแล้วจริง ๆ ดีที่ถึงแม้ว่าจะเล็กแต่อุปกรณ์ทุกอย่างกลับครบครัน แถมยังมีสองห้องนอน เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่สมควรมีถึงแม้ว่าจะมีฝุ่นเกาะอยู่เป็นชั้น แต่ว่าก็ยังถือได้ว่าครบถ้วน
ฉินซีกล่าวขอบคุณอานหยันแล้ว สุดท้ายก็อาศัยอยู่ที่นี่เลย
ร่างกายของเหยาหมิ่นยังไม่หายดี เธอก็ไม่กล้าให้เหยาหมิ่นเหน็ดเหนื่อยเกินไป เพราะฉะนั้นฉินซีที่ตั้งแต่เล็กจนโตแทบจะไม่เคยแตะงานบ้านมาก่อนเลย ก็ใช้เวลาไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ในที่สุดก็ถือได้ว่าทำความสะอาดบ้านจนเรียบร้อยได้หมด
รอเหยาหมิ่นเข้าไปพักผ่อนแล้วนั้น เธอก็รีบเอาข้อมูลทั้งหมดที่ตัวเองตรวจสอบมาได้รายงานแก่จ้านเซิน
มองหน้าจอสนทนาที่ไม่มีการตอบกลับแล้ว ฉินซีก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา
เธอมองไปรอบ ๆ หนึ่งรอบ ห้องที่กว้างประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ของห้องนอนเดิมของตัวเอง แล้วก็หรี่ตาลง
ความลำบากก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ยังไงก็ต้องฝ่ามันไปให้ได้
ฉินซีคิดอยู่แบบนี้
แต่ว่านี่กลับไม่ใช่การเริ่มต้นของชีวิตที่เงียบสงบ
แต่มันเป็นการเริ่มต้นของฝันร้ายอีกอย่างหนึ่งต่างหาก
เพราะว่าเช้าวันรุ่งขึ้น เสียงกริ่งในบ้านก็ดังขึ้นอย่างกับจะเร่งเอาชีวิต
ฉินซีนอนอยู่ในผ้าห่มอย่างทนไม่ไหว สะลึมสะลือและบ่นว่าพ่อบ้านทำไมยังไม่ไปเปิดประตู หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีถึงได้สติขึ้นมา
เธอไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลฉินแล้ว
แล้วก็ดูโทรศัพท์ เวลาเจ็ดโมงยังไม่ถึงเลย
ใครกันนะ เช้าขนาดนี้ก็มาแล้ว?
ฉินซีระแวดระวังตัว และเดินไปที่ประตูช้า ๆ แล้วมองลอดตาแมวออกไปข้างนอก
ข้างนอกมีผู้ชายร่างสูงใหญ่หลายคนยืนอยู่ ฉินซีประมาณการฝีมือตัวเองดูแล้ว ด้วยฝีมือของตัวเอง ก็น่าจะยากที่จะล้มได้ทั้งหมด
เธอยังไม่ได้พูดอะไร ประตูของเพื่อนบ้านก็เปิดออกมาแล้ว
“ทำอะไรน่ะ! ตั้งแต่เช้า จะให้คนนอนไหมเนี่ย!”
ผู้ชายพวกนั้นไม่สะทกสะท้าน เพียงแต่ยังคงกดกริ่งประตูต่อไป
“พวกแกนี่จะเร่งเอาชีวิตเหรอ!” ประตูเพื่อนบ้านอีกบ้านหนึ่งก็เปิดออกมา
พวกผู้ชายพวกนั้นเหมือนจะมั่นใจแล้วว่าฉินซีคงไม่มาเปิดประตู แล้วก็ปรึกษากันสักครู่ ก็หมุนตัวแล้วเอาถังสีน้ำมันสีแดงถังหนึ่งออกมาจากข้างหลัง
ไม่รอฉินซีตั้งตัวมาได้ พวกเขาก็ขยับมือแล้วเริ่มลงมือเขียนอะไรลงบนข้างประตูและกำแพงขึ้นมา
พวกเขาทุกคนเหมือนกับว่าจะช่ำชองกับขั้นตอนแบบนี้เอามาก ๆ อย่างรวดเร็วสีก็เขียนหมดแล้ว และเก็บข้าวของแล้วหมุนตัวจากไป
จากตาแมวฉินซีสามารถเห็นหน้าตาบิดเบี้ยวของเพื่อนบ้าน กำลังอ่านพึมพำตัวหนังสือบนกำแพง
“ติดหนี้ ชดใช้”
เธอเหมือนกับว่าโดนทุบตรงกลางกระหม่อมทีหนึ่ง
พวกเร่งรัดหนี้……นี่ก็มาแล้วเหรอ
“ทำไมเหรอ?” เหยาหมิ่นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าออกมา คราวนี้พอสงบลงมา ก็ได้เดินออกมาถึงห้องรับแขกอย่างช้า ๆ
มองฉินซีเกาะติดอยู่กับตาแมวที่ประตู ก็เลยถามออกมา
ฉินซีหันหน้ามา ก็เห็นเหยาหมิ่น แล้วก็ยืนตัวตรงโดยอัตโนมัติ เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงตรงหน้าเหยาหมิ่น แล้วก็ผลักเข้าเขากลับไปทางห้องนอน “ไม่มีอะไร แม่ไปนอนพักรักษาตัวบนเตียงดี ๆ ก่อนนะ”
แน่นอนว่าเหยาหมิ่นไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น เขาดูท่าทางของฉินซีก็รู้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าฉินซีจะมีอากัปกิริยาทั้งหน้าว่าไม่อยากจะพูด แต่เขาก็ยังเปิดปากถามอยู่ดี “เมื่อกี้พวกที่มาเป็นใครกัน?”
ฉินซีเม้มปากเล็กน้อย และลังเลไปไม่กี่วินาที ถึงได้พูดขึ้นเสียงต่ำว่า “พวกเร่งรัดหนี้……”
สีหน้าของเหยาหมิ่นนิ่งค้าง หลังจากไม่กี่วินาทีผ่านไป ก็ยิ้มอย่างขมขื่นขึ้น “เร็วขนาดนี้เลย……”
ฉินซีมองเขาดูเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจก็ลนลานขึ้นมา แล้วพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ต้องสนแล้ว แม่ เดี๋ยวใครมาเคาะประตูแม่ก็ไม่ต้องเปิดนะ ทำเป็นไม่ได้ยินละกัน เดี๋ยวหนูจะจัดการเอง”
เหยาหมิ่นยิ้มจาง ๆ ให้เธอ “บนตัวแม่แบกหนี้ไว้หลายร้อยล้าน ลูกยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เพราะแม่ไม่ดีเอง แม่ลากหนูมาลำบากด้วยแล้ว……”
“อย่าพูดอีกเลยค่ะ!” ฉินซีรับพูดขัดเขา “หนูจะคิดหาวิธีเอง พวกเราค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป จะต้องมีวิธีแก้ปัญหาได้แน่ ตอนนี้เชื่อหนูนะคะ อีกเดี๋ยวไม่ว่าใครมาเคาะประตู ก็อย่าเปิด รู้ไหมคะ?”
เหยาหมิ่นลังเลไปไม่กี่วินาที แล้วก็พยักหน้า
ฉินซีลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวหนูจะออกไปข้างนอกสักพักนะคะ”
เหยาหมิ่นไม่ได้ถามเธอว่าจะไปไหน เพียงแต่มองเธอปิดประตูห้องนอนลงอย่างเงียบ ๆ
ฉินซีเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จเรียบร้อย แล้วตรงไปหาอานหยัน
บ้านนี้อานหยันเป็นคนช่วยเธอเช่า ไม่ว่าอย่างอื่น แค่เรื่องที่หน้าประตูโดนสีน้ำมันสาด ก็จะต้องบอกกับเธอสักหน่อย
ดีที่อานหยันกำลังมีเวลาว่างอยู่พอดี พอได้ฟังคำพูดของฉินซีแล้ว ก็ขนลุกขึ้นมาทันทีเลย
“พวกเร่งรัดหนี้……ถึงกับมาสาดสีน้ำมันถึงหน้าบ้านเลยเหรอ?”
พื้นเพครอบครัวของอานหยันก็ถือได้ว่าดีมาก เรื่องแบบนี้แค่ฟังก็ยังรู้สึกว่าน่ากลัวแล้ว แต่นี่ยิ่งไปกว่านั้น คือกลับเกิดขึ้นจริง ๆ กับตัวฉินซีเอง
ฉินซีตั้งแต่เด็กมาก็คือคุณหนูใหญ่ แล้วตั้งแต่เช้าก็มาโดนคนเหยียดหยามแบบนี้ คาดว่าอารมณ์คงจะยิ่งไม่ดีเอามาก ๆ เลย
แต่ว่าท่าทีของฉินซีสงบนิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้ซะอีก
“อานหยัน ฉันจะต้องคิดหาวิธี จะให้เรื่องแบบนี้มาเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
อานหยันขมวดคิ้วเล็กน้อยตามไปด้วย “แต่ว่า……แล้วจะทำยังไงล่ะ?”
ฉินซีหรี่ตาลง “ฉันยังมีรถอีกคันหนึ่ง หาโอกาสขายรถไปเถอะ”
อานหยันมองเธอ แล้วก็พยักหน้า
พวกเขาต่างก็รู้ เงินอันน้อยนิดที่ได้จากการขายรถ ถ้าเทียบกับหนี้ของเหยาหมิ่นมาพูดแล้ว ก็แค่เป็นน้ำหนึ่งแก้วที่จะไปดับไฟไหม้หญ้าเต็มคันรถได้อย่างไร