บทที่ 1143 คุณขาดเงินขนาดนี้เลยเหรอ
ฉินซียืมดวงตาตัวเอง แล้วมองสบตากับหลี่เหวยเมื่อหลายปีก่อน
หลี่เหวยในตอนนั้นดูอ่อนเยาว์กว่าในตอนนี้บ้าง แต่ว่าในเมื่อยังไม่ได้แต่งเข้าตระกูลฉิน เพราะฉะนั้นทั้งตัวจึงยังแต่งตัวเฉิ่ม ๆ เชย ๆ อยู่
เขามองฉินซี แล้วบนใบหน้าก็มีรอยยิ้มโผล่ออกมา “อ่อ ฉินซีกลับมาแล้วเหรอ?”
คำพูดประโยคนี้ของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนว่าเป็นเจ้าของบ้าน ฉินซีแทบจะใช้เวลาแค่ชั่วพริบตา ก็รู้สถานะของเขาแล้ว
เมื่อเอาทุกอย่างมาประกอบกันแล้วดู
ที่เหยาหมิ่นโดนใส่ร้ายป้ายสี หย่า หนี้สินจำนวนมหาศาลและข่าวอื้อฉาวที่ตกลงมาจากฟ้าจนมาทับเขาจนล้ม แต่ฉินซึ่งเทียนกลับแค่ชั่วพริบตาก็อดทนรอไม่ไหวแล้วพาคนใหม่เข้ามาในบ้านแล้ว
ตรงหน้าของฉินซีอย่างกับว่าผ้าม่านบังตาโดนฉีกออกแล้ว
……ที่แท้ที่เขาทำทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อต้องการโอนย้ายภาระหนี้สินเท่านั้น ยังเพื่อผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ด้วย
ฉินซีรู้สึกความโกรธมากจนเกินไป แล้วกลับสงบนิ่งลงมา
ตอนนี้จะมาไถ่ถามฉินซึ่งเทียน แล้วยังจะมีความหมายล่ะ?
เขาจะมีทางยอมรับความผิดของตัวเองเหรอ? หรือจะยอมรับทุกสิ่งที่ทำกับเหยาหมิ่นอย่างตรงไปตรงมาได้เหรอ?
ถ้าหากว่าเขาจะซื่อตรงขนาดนี้ ก็คงจะไม่มีฉินซึ่งเทียนในตอนนี้แล้ว
เพราะฉะนั้นเธอจึงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วประเมินหลี่เหวยตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความดูถูก “ที่บ้านมีคนรับใช้มาใหม่เหรอ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เหวยนิ่งค้างไป
“ทำไมพูดอย่างนี้!” ฉินซึ่งเทียนรีบลุกขึ้นมา แก้ไขสถานการณ์ “เสี่ยวซี นี่เป็นคุณน้าหลี่ของแก”
ฉินซีขำออกมาคำหนึ่ง แล้วหันไปมองทางฉินซึ่งเทียน “คุณก็เพราะว่านังผู้หญิงคนนี้ ถึงกลับต้องทำให้แม่ฉันถึงตายเลยเหรอ?”
บนใบหน้าของหลี่เหวยเขียวจุดหนึ่งขาวจุดหนึ่งแล้ว ฉินซึ่งเทียนรวบตัวเธอทีเดียวมาบังไว้หลังเขา แล้วมองฉินซีด้วยแววตาโกรธจัด“ฉินซี! หลายปีมานี้ สอนมารยาทแกมาแบบนี้เหรอ?”
ฉินซียิ้มขึ้นเย็น ๆ “คุณปู่ของฉันสอนคุณมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ก็เพื่อให้คุณมาสาดน้ำสกปรกใส่แม่ฉัน แล้วเปลี่ยนให้ผู้หญิงอื่นมาเข้าบ้านแทนเหรอ?”
สีหน้าของฉินซึ่งเทียนยิ่งดูแย่มากขึ้น “แม่ของแกไม่รักดีเอง!”
ตอนที่เขาพูดคำพูดนี้นั้นอย่างกับว่าพูดด้วยความชอบธรรม ไม่มีท่าทีละอายใจเลยสักนิด
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเห็นหลี่เหวยยืนอยู่ตรงนี้ด้วยตาตัวเอง คงจะมีความเป็นไปได้ที่ฉินซีจะสงสัยว่าคนที่ไม่รักดีจริง ๆ คือเหยาหมิ่น แต่ไม่ใช่ฉินซึ่งเทียน
ปฏิกิริยาของเขาแข็งกระด้างขนาดนี้ ดูแล้วก็คือไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาแน่ เพราะฉะนั้นฉินซีจึงขี้เกียจจะไปโต้แย้งกับปัญหานี้อีกแล้ว
ตั้งแต่แรกเธอก็มีปัญหาอื่นอยากจะถามอยู่แล้ว
“คุณขาดเงินขนาดนี้เลยเหรอ?”
สีหน้าของฉินซึ่งเทียนนิ่งค้าง “แกกำลังพูดเรื่องอะไร?”
ฉินซีไม่อยากจะเสียเวลาอ้อมค้อมกับเขาอีก ก็เลยพูดไปตรง ๆ “คุณเอาบ้านของคุณปู่ไปขายแล้ว”
ฉินซึ่งเทียนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ปู่ของแกเสียไปตั้งหลายปีแล้ว บ้านหลังนั้นเป็นของฉัน ในเมื่อไม่มีคนอยู่ ก็ขายทิ้งไปดีกว่าไม่ใช่เหรอ……”
“ฉินซึ่งเทียน” ฉินซีพูดขัดเขาขึ้นด้วยเสียงเย็น “คุณไม่เคยเอาคุณปู่และแม่ของฉันมาไว้ในใจเลย ใช่ไหม?”
พอคำพูดออกจากปาก ฉินซีก็รู้แล้วว่า ตัวเองน่าจะถามคำถามที่ไม่มีความหมายออกไปอีกแล้ว
สิ่งสำคัญที่เธอเอามาใส่ไว้ในใจ ความทรงจำเต็มเปี่ยมที่อยู่ในบ้านหลังนั้น แต่สำหรับฉินซึ่งเทียนมาพูดแล้ว กลับไม่มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย
และก็เป็นเช่นนั้น ฉินซึ่งเทียนไม่ได้ตอบคำถามของเธอโดยตรง แต่กลับขมวดคิ้วแล้วก็จ้องเธอเขม็ง “ฉันเป็นพ่อของแกนะ! แกมาเรียกชื่อฉันตรง ๆ ได้ยังไงกัน?”
ฉินซีมองหน้าที่โกรธจนแดงของเขา และสีหน้าที่เป็นกังวลของหลี่เหวยที่โดนเขาบังไว้ข้างหลังด้วยสายตาเย็นชา
ไฟในห้องรับแขกสว่างไสว จนส่องทุกอย่างออกมาได้ชัดเจน เธอกลับเหมือนกับว่ากำลังดูละครไร้สาระเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองอยู่
“ฉินซึ่งเทียน” ฉินซีพูดขึ้นทีละตัวทีละตัว “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับตระกูลฉินอีก ฉันไม่มีพ่ออย่างคุณ คุณทำให้รู้สึกถึงความไร้ยางอาย”
พอคำพูดพวกนี้ของเธอพูดออกไป ฉินซึ่งเทียนกับหลี่เหวยก็ถลึงตาโต
ในความตกใจของฉินซึ่งเทียนแฝงไว้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่ในแววตาของหลี่เหวยกลับมีความแอบดีใจพาดผ่าน
ฉินซีมั่นใจมากว่าตัวเองไม่ได้มองผิดไปแน่
ใช้นิ้วเท้ามาคิดยังรู้เลยว่า ถ้าฉินซีถอยออกไปจากตระกูลฉินแล้ว ต่อไปมรดกทั้งหมดของตระกูลฉิน ก็จะต้องตกมาเป็นของเขาอยู่แล้ว
ถ้าเขาไม่ดีใจซิ ถึงจะแปลก
ฉินซึ่งเทียนกลับจ้องฉินซีอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ เหมือนกับอยากจะยืนยันว่าเธอแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นใช่ไหม “ฉินซี! แกรู้ตัวไหมว่าแกกำลังทำอะไรอยู่!”
ฉินซียิ้มขึ้นจาง ๆ “ฉันก็ต้องรู้อยู่แล้ว ยืนอยู่ต่อหน้าคุณ มองใบหน้าสารเลวของคุณนี้อยู่ แม้แต่หายใจฉันยังหายใจไม่คล่องเลย”
ฉินซึ่งเทียนโกรธจัด “ดี! ในเมื่อแกจะไปอยู่แล้ว ก็รีบให้ฉันไสหัวออกไปเลย! ต่อไปเงินของตระกูลฉิน แกอย่าคิดว่าจะเอาไปได้แม้แต่แดงเดียว!”
ฉินซีกลับไม่ได้โดนเขาทำให้โมโห ท่าทียังสงบนิ่ง “คุณคิดมาได้ดีมากเลย ของที่คุณปู่ให้ฉันมา ฉันจะเอาไปไม่ให้ขาดสักอย่าง ของที่คุณให้ฉันมา ฉันก็จะไม่มีทางเอาเกินไปสักอย่าง ของที่เป็นของฉัน คนอื่นก็อย่าได้หวังว่าจะเอา”
เธอมองไปที่หลี่เหวยทีหนึ่งอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
และเห็นเข้าพอดี กับแววละโมบโลภมากที่พาดผ่านไปบนใบหน้าของหลี่เหวย
เธอจึงรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ต่อไปก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว จึงหันหน้าไปทางพ่อบ้าน “ช่วยเก็บข้าวของของฉันให้หน่อย”
ฉินซึ่งเทียนตะคอกอย่างโกรธจัดขึ้นข้างหลัง “ฉันจะดูซิว่าใครกล้าช่วยมัน!”
คนรับใช้ทั้งห้องต่างก็ไม่กล้าขยับแล้ว ฉินซีหัวเราะอย่างเยาะเย้ยขึ้น “ได้ ฉันไปเก็บเองก็ได้”
พูดจบ เธอก็ไม่มองฉินซึ่งเทียนอีก ก็ตรงขึ้นไปชั้นบนกลับไปที่ห้องของตัวเองเลย
ถ้าจะต้องพูดจริง ๆ แล้ว หลายปีมานี้ฉินซีก็ไม่ได้พึ่งเงินทั้งหมดที่ฉินซึ่งเทียนให้มีชีวิตอยู่มาได้จริง ๆ
ถึงแม้ว่าฉินซีจะเป็นแค่หน่วยข่าวกรอง และแทบจะไม่ต้องเสี่ยงชีวิต แต่ว่าเงินเดือนที่องค์กรให้ถ้าเทียบกับเงินเดือนของงานทั่วไปมาพูดแล้ว ก็ถือได้ว่าสูงมากแล้ว แต่ว่าสำหรับฉินซีมาพูดแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นแค่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ
ตอนนี้ดูแล้ว ยังดีที่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ในปกติเธอเอามาใช้ซื้อของเล็ก ๆ กระจุ๋มกระจิ๋มพวกนี้ ตอนนี้ยังถือได้ว่าเป็นของตัวเองทั้งนั้น
ไม่งั้นตอนนี้ ถ้าอุปกรณ์ถ่ายรูปที่เธอเห็นว่าสำคัญมาก ๆ เอาไปด้วยไม่ได้แล้วล่ะก็ เธอคงจะเสียใจมากกว่าที่ตัดขาดกับฉินซึ่งเทียนซะอีก
ข้าวของมีไม่เยอะ ฉินซีเก็บอุปกรณ์ที่ตัวเองซื้อมาให้เรียบร้อย แล้วก็เก็บเสื้อผ้าอีกไม่กี่ตัว แค่พอใส่กระเป๋าเล็ก ๆ ใบหนึ่งเต็มเท่านั้น
เธอหิ้วกระเป๋าแล้วลงไปข้างล่าง เดินมาถึงห้องรับแขกถึงพบว่า ฉินซึ่งเทียนกับหลี่เหวย และยังมีพวกคนรับใช้ก็ยังแทบจะยืนอยู่ที่เดิม พอได้ยินความเคลื่อนไหวของเธอ ก็เงยหน้าขึ้นมา และมองมาทางเธอ
พอเห็นเธอถือกระเป๋าไว้ สีหน้าของฉินซึ่งเทียนก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ก็ไม่แปลกที่คนอย่างเขานั้น น่าจะเข้าใจได้ยากมากว่าจะมีคนถึงกับยอมละทิ้งทรัพย์สมบัติของตระกูลฉินได้เพียงเพราะเรื่องแค่นี้
ฉินซียกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างประชดประชัน และเดินไม่กี่ก้าวไปถึงหน้าฉินซึ่งเทียน “คุณจะเปิดกระเป๋าดูหน่อยไหมล่ะ? ข้างในนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ฉันใช้เงินตัวเองซื้อมาทั้งนั้น รับรองว่าไม่ได้ใช้เงินของคุณแน่”
ใบหน้าของฉินซึ่งเทียนโกรธจนเป็นสีม่วงแดงแล้ว
คำพูดของฉินซีเสมือนกับยั่วยุ นี่มันเป็นการเหยียดหยามอำนาจของเขาที่อยู่ในบ้านตระกูลฉินชัด ๆ
เขายื่นนิ้วมือที่สั่นเทาไปทางฉินซี “ไสหัวไป! ให้ฉันไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
ฉินซียักคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ และหันหน้าไปทางฉินซึ่งเทียน “นี่เป็นรถที่คุณปู่ให้ฉัน และก็ไม่ถือว่าเป็นของของคุณ ฉันจะขับไปแล้วนะ”
ถ้าความโกรธในแววตาของฉินซึ่งเทียนสามารถฆ่าคนได้ ตอนนี้ฉินซีคงจะเสียชีวิตไปแล้ว
“แกก้าวออกไปจากที่นี่ก้าวหนึ่ง ก็อย่าได้กลับมาอีก!” เขาตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง
ฉินซีแค่ยิ้มจาง ๆ ทีหนึ่ง แล้วก็เดินออกไป