บทที่ 1138 สามารถโดนช่วยกลับมา
บางครั้งที่ฟางฟางก็ยังใช้พลังงานไฟฟ้ากระตุ้นอยู่บ้าง แต่ว่าเมื่อดูจากในความทรงจำแล้ว ฉินซีไม่เคยเจ็บปวดแบบนั้นอีกเลย
ดูไปแล้ว ฟางฟางก็คือนักทดสอบของตัวเองนี่เอง
ฉินซีก็ยังรู้สึกว่า ขั้นตอนการจับคู่ที่ทุกคนจับคู่กับนักทดสอบนั้น ทำอย่างกับว่าเอาคนไปเป็นเพียงของทดลอง แต่ไม่ได้เห็นว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
เพียงแต่ว่ายังดีที่นักทดสอบคนนี้ที่ตัวเองได้จับคู่ด้วย ยังเป็นคนที่อ่อนโยนและมีเมตตา
“เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” ฟางฟางเข้าประตูมา ก็เปิดปากถามขึ้นทันที
ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองยิ้มขึ้นเล็กน้อย และน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ “ฉันจะต้องไม่มีปัญหาแน่ค่ะ”
ฟางฟางก็ยิ้มตามขึ้นมา “ใช่ ฉันเชื่อใจเธอ ภารกิจครั้งนี้ของเธอจะง่ายกว่าการฝึกในเวลาปกติของพวกเราอยู่เล็กน้อย”
“เป็นอะไรเหรอคะ?” ฉินซีถามขึ้น
“ไปที่สนามฝึกของคนอื่น แล้วสำรวจพื้นที่ภูมิศาสตร์สักหน่อย” ฟางฟางพูดขึ้นอย่างง่ายดาย
ฉินซีในใจรู้สึกมีความสงสัยขึ้นมา
แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าตัวเองที่สิบสามขวบนั้นไม่มีทางระมัดระวังและพบว่า“ที่สนามฝึกของคนอื่น”หกคำนี้มีอะไรที่แปลกประหลาดอยู่ แต่ว่าได้แค่พยักหน้าโดยตรงเท่านั้น “รับรองว่าต้องสำเร็จค่ะ”
ฟางฟางมองเธอก็ยิ้มขึ้น “งั้นฉันรอข่าวจากเธอนะ”
ต่อจากนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เหมือนราวกับโดนกดเร่งความเร็ว
ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะเปิดปากตอบรับไป พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองได้นั่งอยู่ในรถแล้ว
ในรถนอกจากตัวเองแล้ว ยังมีผู้ชายสามคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน
เหมือนว่าทุกคนต่างก็โดนสั่งให้เก็บภารกิจของตัวเองไว้เป็นความลับ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครพูดอะไร ต่างก็ก้มหน้าไม่พูดอะไร
และฉินซีรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะนั่งอยู่ในรถได้ไม่นาน รถก็จอดลงแล้ว มีคนพูดขึ้นว่า “ถึงแล้ว” และทุกคนก็ทยอยกันลงมาเหมือนปลาที่ว่ายน้ำต่อกันไปเป็นฝูง
ฉินซีเพิ่งลงจากรถ อยู่ ๆ ภาพเหตุการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ตัวเองได้อยู่ตามลำพังแล้ว และยืนอยู่ในป่าไม้ฝืนหนึ่ง
ฉินซีรู้ว่านี่คือ ภารกิจของตัวเองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นเด็กผู้หญิงสิบสามขวบทั่วไปไม่ว่าคนไหน ถ้าโดนทิ้งไว้ตัวคนเดียวในป่าที่ไม่มีคนเลยสักคนแบบนี้ ส่วนใหญ่คงจะตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าฉินซีไม่ได้เป็นเด็กผู้หญิงสิบสามขวบทั่วไปอีกแล้ว
เธอสามารถรู้สึกได้ว่าจังหวะหัวใจของตัวเองเต้นได้สม่ำเสมอมาก ฝ่ามือก็ไม่ได้มีเหงื่อออก เหมือนอย่างกับว่ากำลังเดินอยู่บนถนนหน้าบ้าน แต่ไม่ได้กำลังทำภารกิจอยู่ในพื้นที่“ของคนอื่น”
เด็กอายุสิบสามนั้นน้ำหนักตัวเบามาก เพราะฉะนั้นท่าทางของเธอจึงเบามากเหมือนกัน เกือบจะไม่ได้ทำให้เกิดเสียงใด ๆ ขึ้นมาเลย เสียงที่เกิดขึ้นตอนที่เดินผ่านกิ่งไม้ใบหญ้า ก็ยังดังสู้เสียงที่ลมพัดผ่านกิ่งไม้ใบหญ้าไม่ได้เลย
เห็นได้ชัดว่าเธอค่อนข้างคุ้นเคยกับการสำรวจแบบระมัดระวังแบบนี้ ไปถึงจุดสำรวจหลายจุดอย่างมีความชำนาญ แล้วสำรวจอย่างละเอียดไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวสู่เส้นทางกลับอย่างเบามือเบาเท้า
อาจจะเป็นเพราะสาเหตุที่โดนยัดความทรงทำฝึกฝนทั้งสามปีกลับเข้ามา ฉินซีที่อาศัยอยู่ในร่างตอนเด็กของตัวเองก็มองตามสายตาของตัวเอง และเหมือนเป็นไปโดยสัญชาตญาณ แล้วจดจำภูมิศาสตร์รอบข้างเอาไว้ในหัวสมองได้ทั้งหมด
ภาพกะพริบอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองได้กลับมาถึงในค่ายแล้ว และกำลังร่างสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมาตามความทรงจำโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ผ่านไปไม่นาน เธอก็ถ่ายทอดทุกอย่างที่ตัวเองเห็นไว้บนกระดาษตรงหน้าแล้ว ที่สำคัญยังวงพื้นที่ที่สามารถสร้างกับดักได้ง่ายเอาไว้อีกด้วย
คนหลายคนที่ล้อมรอบตัวเธอต่างก็พยักหน้า แล้วก็แยกย้ายกันไป
ฉินซีไม่รู้ว่าภารกิจของพวกเขาคืออะไร และก็รู้ว่าตัวเองไม่สามารถไปถามได้
แต่ว่าเธอรู้ว่า ภารกิจของตัวเองเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว
เธอรออยู่ในค่ายได้ไม่นาน อยู่ ๆ ที่ไกล ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา
ฉินซีไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ ๆ ในใจก็ร้อนรนขึ้นมา
นี่เป็นความเคลื่อนไหวที่มาจากในใจของฉินซีคนปัจจุบัน
แต่ว่าเธอกลับไม่รู้เลยสักนิด ว่าเป็นเพราะอะไร
ไม่กี่นาทีผ่านไป คนทั้งหมดต่างก็กลับมาแล้ว
ทุกคนไม่ได้พูดอะไร ฉินซีสามารถมองจากสีหน้าของพวกเขาได้ว่า ภารกิจของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์กันแล้ว
จนถึงพอขึ้นมานั่งอยู่ในรถแล้ว ทุกคนถึงทนไม่ไหวแล้วพูดคุยเสียงต่ำกันขึ้นมา
“เด็กผู้ชายตระกูลลู่คนนั้นช่างดวงแข็งจริง ๆ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งพึมพำเสียงเบา “ฉันคิดว่าเขาจะต้องตายแน่ ๆ แล้ว”
“ก็ใช่น่ะซิ” เด็กผู้ชายอีกคนเห็นด้วย “คิดไม่ถึงว่าเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ยังโดนช่วยชีวิตกลับมาได้”
เพิ่งพูดไปสองประโยค คนขับรถข้างหน้าก็กระแอมไอขึ้นมาสอบคำ
เด็กผู้ชายสองคนนั้นรีบหยุดเสียงพูดคุยกันลงทันที
ฉินซีกลับนิ่งอึ้งอยู่ในใจ
เด็กผู้ชายตระกูลลู่……
คนแซ่ลู่นั้นมีไม่น้อย แต่ว่าก็มีอยู่ไม่กี่คนที่โดนเรียกแทนว่า “คนตระกูลลู่”
หรือว่า……จะเป็นลู่เซิ่น?
แต่ว่าลู่เซิ่นเป็นอะไรไปล่ะ? อะไรคือดวงแข็งมาก? แล้วทำไมจะต้องตายแน่ ๆ ล่ะ?
ในหัวสมองของฉินซีแค่แป๊บเดียวก็เต็มไปด้วยความคิดต่าง ๆ นานามากมาย เพียงแต่ว่ามันยากอยู่ที่ไม่สามารถใช้ปากของตัวเองที่อายุสิบสามขวบ มาถามทุกอย่างออกไปได้
เธอทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้เต็มหัวสมอง แล้วก็ตามกลับไปที่ฐาน
จ้านเซินยืนรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตู
สีหน้าของเขาดูอารมณ์ใด ๆ ไม่ออก รอจนทุกคนทยอยลงจากรถกันแล้ว เขาก็พาทุกคนกลับมาที่ห้องประชุม
ครั้งนี้ ที่เวทีบรรยายมีแค่คนสองคนแล้ว
ผู้ชายที่หน้าตาคล้ายจ้านเซินถือไมโครโฟนเอาไว้ แล้วเปิดปากพูดว่า “ขอต้อนรับทุกคนกลับมา”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินซีได้ยินเสียงของเขา
เสียงขรึมต่ำกว่าจ้านเซินคนปัจจุบันเล็กน้อย แฝงความรู้สึกน่าเกรงขามเอาไว้ ทำให้คนรู้สึกไม่อยากจะสบตาเข้ากับเขาตรง ๆ เลย
“สำหรับผลการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ฉันคิดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจแล้ว” คำพูดนี้ของเขาพูดได้คลุมเครือ ทำให้คนเดาความหมายที่ชัดเจนไม่ได้ “ฉันก็จะไม่พูดไร้สาระแล้ว ขอประกาศผลโดยตรงเลยก็แล้วกัน”
ฉินซีสามารถรู้สึกได้ว่า เด็กผู้ชายหลายคนที่อยู่รอบข้างแค่ครู่เดียวก็ยื่นคอยาวกันแล้วทั้งนั้น
“ครั้งนี้คนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าองค์กรนั้น มีอยู่แค่คนเดียว”
คำพูดของเขาพูดจบลง ทั้งห้องก็เหมือนระเบิดลงแล้ว
“ใครกันน่ะ?”
“ทำไมถึงมีแค่คนเดียวล่ะ?”
“พวกเราต่างก็ทำภารกิจสำเร็จกันทั้งนั้นนี่?”
ทุกคนต่างก็ยังเป็นแค่เด็กสิบกว่าขวบ ชั่วขณะหนึ่งก็เกิดการควบคุมอารมณ์ไม่ได้
จ้านเซินและผู้ชายคนนั้นที่อยู่บนเวที เหมือนกับว่าสถานการณ์แบบนี้จะไม่ได้เกินสิ่งที่พวกเขาคาดหมายไว้ พวกเขาไม่มีท่าทีอะไรมากมาย เพียงแต่นั่งนิ่ง ๆ ในที่นั่งตัวเอง รอจนเสียงถกเถียงของทุกคนค่อย ๆ เบาลง แล้วสุดท้ายกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“สำหรับคนที่ได้อยู่ต่อนั้น ฉันก็จะไม่ประกาศชื่อที่นี่แล้ว ขอเชิญทุกคนกลับไปที่ห้องของตัวเอง แล้วจะมีนักทดสอบของพวกเธอมาประกาศผลให้พวกเธอเอง”
พูดจบ ฉินซีก็กะพริบตา กำลังจะลุกขึ้น แต่วินาทีต่อมาก็พบว่าตัวเองได้กลับมาถึงที่ห้องแล้ว
เธออดไม่ได้อยากจะหัวเราะ แต่ก็มีความกังวลขึ้นมา
นี่ตกลงตัวเองหลงลืมไปเท่าไหร่กัน?
แม้แต่จิตใต้สำนึกก็ยังจะโดนตัวเองย้อนความทรงจำไปจนเกือบหมดแล้ว
แต่ว่าเธอกลับไม่มีเวลามาทอดถอนใจกับเรื่องพวกนี้ เพราะว่าฟางฟางได้เปิดประตูเข้ามาแล้ว
“ฉินซี” บนในหน้าของเธอมีแววยินดีจาง ๆ “ยินดีด้วย เธอได้เข้าสู่องค์กรของเราอย่างแท้จริงแล้ว”
ฉินซีคนปัจจุบันนั้นก็ไม่ได้รู้สึกตกใจอยู่แล้ว แต่ว่าเธอที่สิบสามขวบ ก็น่าจะควบคุมอาการตกใจของตัวเองไม่อยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้นถึงได้ทำให้ฟางฟางรู้สึกขำขึ้นมา แล้วก็เดินไปไม่กี่ก้าวไปถึงข้างกายเธอ และรวบตัวเธอมาอยู่ในอ้อมกอดเบา ๆ “ใช่ คือเธอนะแหละ”
ตอนที่ฉินซีโดนอ้อมกอดนี้โอบกอดไว้นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเกิดความรู้สึกปลอดภัยและสงบนิ่งขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ว่าเขาแค่โอบกอดเธอไม่กี่วินาที แล้วก็ปล่อยมือออก
ระยะห่างของทั้งสองคนนั้นใกล้กันมาก เพราะฉะนั้นฉินซีสามารถมองเห็นปฏิกิริยาบนใบหน้าของเธอนั้นถือได้ว่าจริงจัง
“แต่ว่าเรื่องราวขององค์กรที่เธอจะต้องรู้นั้น ยังมีอีกมากมาย”
ฉินซีมองปฏิกิริยาที่จริงจังของเธอแล้ว ก็พยักหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก