flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1137 จิตใจโหมเหี้ยมพอจริง ๆ

บทที่ 1137 จิตใจโหดเหี้ยมพอจริง ๆ

รอจนถึงตอนที่ความเจ็บปวดของฉินซีค่อย ๆ จางลงอีกครั้งนั้น เธอก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง

พอมองไปรอบข้าง การตกแต่งของห้องนี้ กับห้องที่ร่างกายตัวเองกำลังนอนอยู่ในตอนนี้ มีความคล้ายคลึงกันพอสมควร

นี่ฉินซีถึงได้เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ห้องพักผ่อนในหอคอยC ก็เป็นสไตล์แบบนี้เหมือนกัน

พอคิดมาถึงตรงนี้ ด้านหลังก็มีคนเรียกชื่อเธอขึ้นมา

“ฉินซี!”

เสียงนี้ช่างคุ้นหู ฉินซีหันหน้าไป แล้วก็เห็นใบหน้าที่จะคุ้นเคยไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วของจ้านเซิน

จ้านเซินดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่เข้าค่ายฝึกอบรมไม่น้อย อย่างน้อยรูปร่างของใบหน้าก็เข้าใกล้กับใบหน้าของเขาในตอนนี้แล้ว น้ำเสียงก็ขรึมต่ำขึ้นกว่าเมื่อกี้ไม่น้อย

“เธอเตรียมตัวเสร็จหรือยัง?” จ้านเซินถามขึ้น

ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองพยักหน้าลง

“งั้นก็ไปกันเถอะ” จ้านเซินสะบัดมือ แล้วฉินซีก็เดินตามออกไป

มองตามจากสายตาของฉินซี ก็เห็นการตกแต่งของรอบข้าง ฉินซีพอจะสามารถเดาได้แล้วว่า ตอนนี้พวกเขาก็น่าจะอยู่ในฐานที่ไหนสักแห่งขององค์กรนี้อีกแล้ว

แล้วตอนนี้ตัวเองอายุเท่าไหร่ล่ะ? แล้วกำลังจะไปทำอะไร?

ตอนนี้ฉินซียังไม่ได้คำตอบชั่วคราว

เธอรู้เพียงแค่ได้แต่เดินตามจ้านเซินไปอย่างเงียบ ๆ เดินเข้าไปในที่แห่งหนึ่งที่เหมือนกับห้องประชุม

เพียงแต่ว่าห้องประชุมนี้จะเรียบง่ายกว่าที่อื่นที่เธอเคยเจอมาบ้างเล็กน้อย ไม่มีการตกแต่งที่โอ่อ่าตระการตา พื้นที่ก็ไม่ได้ถือว่าใหญ่มาก

ข้างในได้เริ่มมีคนมานั่งกระจายกันอยู่บ้างแล้ว พอได้ยินเสียงเธอกับจ้านเซินเดินมา ก็พยักหน้าทักทายกับจ้านเซิน

จ้านเซินกลับไม่ได้ตอบกลับ

แต่กลับเป็นฉินซีที่พยักหน้าให้พวกเขา และเดินไปถึงข้างกายพวกเขา แล้วก็หาที่นั่งลง

ผ่านไปอีกไม่กี่นาที ก็มีคนทยอยเดินเข้ามาเรื่อย ๆ ในที่สุดก็สามารถเติมเต็มห้องประชุมที่ไม่ได้ถือว่าใหญ่มากนี้ได้สักที

ฉินซียืมโอกาสที่ตัวเองกำลังมองไปรอบ ๆ สำรวจรอบข้างไปรอบหนึ่ง

รวมทั้งหมดมีคนยี่สิบคนก็ไม่ถึง ดูไปแล้วอายุน่าจะอยู่ประมาณสิบกว่าทั้งนั้น มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ว่าผู้ชายดูจะเยอะกว่าเล็กน้อย

ฉินซียังอยากจะสำรวจต่อไป แต่ว่าที่ลำโพงได้มีเสียงคนลอยออกมาแล้ว

“สวัสดีตอนบ่าย ทุกท่าน”

ฉินซีถึงได้นั่งตัวตรง แล้วมองไปทางเวทีบรรยาย

ที่เวทีบรรยายนั้นมีคนนั่งอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามคน จ้านเซินนั้นนั่งอยู่ทางด้านซ้าย ที่ด้านขวาสุดมีชายคนหนึ่งที่ดูแล้วค่อนข้างผอมบางกำลังถือไมโครโฟนพูดอยู่ และคนที่นั่งอยู่ตรงกลาง เป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง

ฉินซีหรี่ตามองไป อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้……เหมือนจะคล้ายกับจ้านเซินนิดหน่อย

หรือพูดอีกอย่างก็คือ จ้านเซินในคนปัจจุบันถ้าผ่านไปอีกไม่กี่ปี ก็คงจะมี รูปลักษณ์แบบนี้

สำหรับสถานะของผู้ชายคนนี้ เธอได้แต่แอบคาดเดาอยู่ในใจนิด ๆ หน่อย ๆ

แต่ว่าผู้ชายคนที่อยู่ด้านขวาสุดยังคงพูดต่อไป “ยินดีด้วยกับทุกท่าน หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนมาสามปี ในที่สุดก็สามารถทำได้ถึงมาตรฐานการจบการศึกษาของค่ายเตรียมการได้แล้ว”

ฉินซีแอบตกใจขึ้นในใจ

นี่มัน……ฝึกฝนอยู่ในค่ายเตรียมการมาเป็นเวลาสามปีแล้วเหรอ?

แต่ว่าเธอสามารถยืมหางตาของตัวเองมองเห็นรอบข้าง บนใบหน้าของผู้คนยังไม่มีการสั่นไหวของความรู้สึกอะไรโผล่ออกมา

ดูท่าแล้วทุกคนได้ฝึกฝนกันมาสามปีแล้วจริง ๆ

“ยืมเวลาปิดเทอมฤดูหนาวและฤดูร้อนของทุกคนมาใช้ จนสามารถทำผลการฝึกฝนมาได้ถึงขนาดนี้ พวกเราก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก” ผู้ชายคนนั้นพูด “เพราะฉะนั้นอยู่ที่นี่ ต้องขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับทุกท่านที่สามารถได้สิทธิ์เข้าร่วมกับองค์กร”

คำพูดนี้ของเขาเหมือนกับกำลังจะบอกอะไร

ฉินซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยอยู่ในใจ

และก็เป็นอย่างว่า ผู้ชายคนนั้นพูดต่อไป “ตอนนี้ ทุกท่านกำลังจะเข้าสู่การปฏิบัติภารกิจตัวคนเดียวครั้งแรก หลังจากที่ปฏิบัติภารกิจสำเร็จแล้ว ก็จะสามารถเข้าสู่องค์กรได้อย่างแท้จริง และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร”

ฉินซีสังเกตเห็นถึง เวลาที่ผู้ชายคนนี้กำลังพูดถึงเรื่องพวกนี้ คนหลายคนที่นั่งอยู่รอบข้างตัวเองต่างก็หน้าตาเคร่งเครียดมาก ราวกับว่ามองเรื่องที่จะได้เข้าหรือไม่ได้เข้าองค์กรนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ

ส่วนตัวเธอเอง ก็กำลังนั่งตัวตรงอย่างเคร่งขรึมอยู่

“สำหรับภารกิจคืออะไรนั้น หลังจากที่จบการประชุมแล้ว จะมีคนมาบอกพวกเธอหนึ่งต่อหนึ่งเอง” ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้น “แต่ว่าเมื่อคำนึงถึงว่าทุกคนนั้นต่างก็เป็นการปฏิบัติภารกิจคนเดียวครั้งแรก เพราะฉะนั้นระดับความยากก็จะไม่มากนัก และถึงแม้ว่าภารกิจจะล้มเหลว ก็จะไม่มีการลงโทษใด ๆ เพียงแต่ว่าจะน่าเสียดายมาก ที่จะไม่สามารถเข้าร่วมกับองค์กรได้ก็เท่านั้นเอง”

พอคำพูดนี้ของเขาพูดออกมา คนที่นั่งอยู่รอบข้างฉินซีก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวกันขึ้น

“ไม่สามารถเข้าร่วมได้แล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่มั้ง!”

เธอได้ยินคนกำลังคุยกันเสียงต่ำ น้ำเสียงดูร้อนรน

แต่ว่าผู้ชายที่อยู่บนเวทีเหมือนกับว่าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นข้างล่าง เขาพูดแบบนี้จบ ก็เปิดปากพูดอีกว่า “ตอนนี้ ขอให้ทุกคนกลับไปที่ห้องของตัวเอง นักทดสอบของพวกเธอจะมาคุยกับพวกเธอทุกคน และแจกแจงภารกิจ”

คนรอบข้างฉินซีลุกขึ้นทีละคนต่อ ๆ กันไป แล้วฉินซีที่สิบสามขวบก็ลุกขึ้นตามไปด้วย

แต่ว่าในใจฉินซีมีความสงสัยกะพริบขึ้นมาอย่างหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นจ้านเซิน หรือว่าผู้ชายวัยกลางที่นั่งอยู่ตรงกลางนั้น ต่างก็ไม่เคยเปิดปากพูดอะไรสักคำ

งั้นทำไมพวกเขาถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ล่ะ? หรือว่าแค่มาดูทุกคนเท่านั้นเหรอ?

สัญชาตญาณของฉินซีเองรู้สึกว่าไม่ได้ง่ายดายขนาดนี้ แต่ว่าในตอนนี้ก็หาเหตุผลที่ดีกว่านี้ออกมาไม่ได้

เธอตามหลังผู้คนกลับมาถึงห้องที่เธอเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

และยืมสายตาตัวเองสำรวจดูอีกรอบ ฉินซีก็รู้สึกว่าการตกแต่งแบบนี้ยิ่งคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น

กำแพงสีขาว ผ้าปูเตียงสีขาว โซฟาและชั้นวางหนังสือเล็ก ๆ สีน้ำตาล

……นี่มันก็คือการตกแต่งของห้องที่ตัวเองโดนขังไว้ไม่ใช่เหรอ?

ฉินซีพร่ำบ่นอยู่ในใจอย่างไม่สบอารมณ์ไปหลายคำ ประตูถึงจะโดนเคาะดังขึ้น

พอเห็นว่าคนที่เข้ามาคือฟางฟาง ฉินซีกลับไม่รู้สึกแปลกใจ

จากช่วงความทรงจำของตัวเอง เธอสามารถพยายามประติประต่อชีวิตของตัวเองในช่วงสามปีที่อยู่ในค่ายเตรียมการนี้ว่าผ่านมาได้ยังไง

องค์กรจะต้องโน้มน้าวฉินซึ่งเทียนได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงทำให้เธอสามารถเข้ามาฝึกในค่ายเตรียมการแบบปิดได้ในทุก ๆ ปิดเทอมฤดูหนาวและร้อน แต่ว่านี่กลับเป็นเพียงแค่เวลาฝึกที่ดูผิวเผิน แต่ที่จริงแล้ว คนขององค์กรจะคอยมาหาเธอตอนสุดสัปดาห์เสมอแล้วก็พาเธอไปแถวชานเมือง เพื่อฝึกฝนต่อไป และหลังจากที่ฝึกฝนแล้ว ก็ยังจะมีการบ้านที่จะให้เธอไปทำให้สำเร็จคนเดียว และก่อนที่จะฝึกฝนในครั้งต่อไป ก็จะต้องตรวจสอบสถานะความเรียบร้อยของการบ้านอีกด้วย

ในตอนนั้นคุณปู่ได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะฉะนั้นฉินซีก็เลยไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ จึงไม่ได้ปฏิเสธการฝึกฝนระดับเข้มข้นแบบนี้

สำหรับเนื้อหาที่ติดต่อกันแบบนี้ ก็ยิ่งเข้มข้นมากยิ่งขึ้นแล้ว

จะต้องคอยฝึกฝนร่างกาย การวิ่งระยะยาวหรือหมอบคลานนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ยังจะต้องฝึกฝนทักษะการต่อสู้ เพราะว่าฉินซีสามารถเห็นได้จากความทรงจำของตัวเองว่ามีหลายครั้งที่มีภาพตัวเองต่อสู้อยู่กับจ้านเซิน รวมทั้งภาพที่ทุกครั้งหลังจากที่ตัวเองพ่ายแพ้จนไม่เหลือคราบแล้วและยืนอยู่ข้างกายจ้านเซิน แล้วก็ฟังเขาวิเคราะห์ว่าตัวเองยังทำตรงไหนได้ไม่ดีพอ

……นี่มันจิตใจช่างโหดเหี้ยมพอจริง ๆ ให้ตัวเองที่เป็นเด็กผู้หญิงต้องมาฝึกฝนแบบนี้ และก็ไม่คำนึงถึงเพศและอายุเลยสักนิด

พอดูตามแบบนี้แล้ว ฉินซีสามารถรู้สึกได้ว่า ตัวเองเหมือนโดนฝึกฝนไปในทางนักฆ่าคนหนึ่งยังไงอย่างงั้น

ถ้าหากไม่ใช้เพราะว่ามีช่วงความทรงจำที่ฝึกฝนอยู่กับฟางฟางมากกว่าแล้วละก็ เธอเกือบจะแน่ใจแล้วว่า องค์กรนี้เป็นองค์กรนักฆ่าแห่งหนึ่ง

เพราะว่าในความทรงจำที่ฝึกฝนกับฟางฟางนั้น ไม่ได้มีการฝึกฝนที่เกี่ยวกับเรื่องพละกำลังพวกนี้เลย

สิ่งที่ต้องทำก็คือ สังเกตการณ์ จดจำ และถ่ายทอดออกมา

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

Options

not work with dark mode
Reset