บทที่ 1133 ไม่มีทางที่จะรู้ได้
จ้านเซินดึงฉินซีทีหนึ่ง “ไปเถอะ”
ฉินซีมองดูข้างในห้องที่ดูมืดสลัวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะกลัว
แต่ว่าพอโดนจ้านเซินดึงแบบนี้แล้ว เธอก็ได้แต่ยกเท้าเดินเข้าไปข้างใน
เดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ประตูเหล็กที่อยู่ข้างหลังก็ค่อย ๆ ปิดลง ฉินซีเพิ่งจะพบว่าข้างในกลับไม่ได้มืดอย่างที่เธอดูไปแล้ว ฉะนั้นความกลัวจึงได้ลดน้อยลงไป และก็มีความสงสัยขึ้นมาจึงเริ่มมองซ้ายมองขวาไปเรื่อย
พวกเขากำลังเดินผ่านระเบียงทางยาวเส้นหนึ่ง ไฟบนเพดานเปิดไว้สว่างมาก แต่ว่าน่าจะเป็นเพราะว่าตั้งใจปรับสีมาเป็นพิเศษแล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ได้แสบตามาก
ทั้งสองข้างของระเบียงทางเดินนั้นล้วนเป็นประตูที่ปิดไว้แน่นหนา มีบางประตูจะมีหน้าต่าง ๆ เล็ก ๆ เปิดเอาไว้ แต่ว่าความสูงของฉินซีไม่เพียงพอ จึงมองไม่ชัดว่าข้างในคืออะไร จึงสามารถเดาได้แค่ว่า เหมือนกับว่าน่าจะเป็นห้องทดลอง
“เดินระวังหน่อย ดูทางด้วย” จ้านเซินพูดเตือนขึ้นประโยคหนึ่ง
ฉินซีรีบเก็บสายตากลับมา แล้วตอบไปคำหนึ่ง และไม่มองไปเรื่อยอีก
ฝีเท้าของหญิงวัยกลางคนคนนั้นเร็วกว่าของพวกเขาสองคนอีก ในเวลานี้เขาได้เดินเข้าไปถึงในลิฟต์แล้ว และกดประตูเปิดค้างไว้ เพื่อรอพวกเขาสองคนเดินเข้ามาอย่างไม่ค่อยชอบใจนิด ๆ แล้วถึงจะกดชั้นยี่สิบหกลงไป
จ้านเซินเอียงหัวน้อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเห็นเลขที่ชั้นที่เธอกดแล้ว จึงเปิดปากถามยิ้ม ๆ ขึ้นว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นเด็กที่มีหน่วยก้านดีอะไร?”
ผู้หญิงคนนั้นเม้มปากอย่างเบื่อหน่าย “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ?”
แต่ว่าฉินซีกลับฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด
เธอค่อย ๆ เรียบเรียงสิ่งที่ผิดปกติที่ตัวเองได้รับรู้มาจนถึงตอนนี้ทีละข้อทีละข้ออยู่ในใจ
จ้านเซินพูดกับผู้หญิงคนนี้ว่า “ค้นพบเด็กที่มีหน่วยก้านดี” มันหมายถึงเป้าหมายของการที่พวกเขาสร้างค่ายนี้ขึ้นมาใช่ไหม กลับไม่ใช่อย่างที่ฉินซึ่งเทียนพูดไว้ ว่าเป็นโอกาสให้พวกลูกหลานคนรวยได้พบปะสังสรรค์กัน แต่ว่าเป็น……การคัดเลือกคนบางส่วนจากในจำนวนคนของพวกเขา
สำหรับจะเลือกคนแบบไหน และทำไมถึงได้เลือกตัวเองนั้น ฉินซีเองก็ยังไม่มีทางจะรู้ได้
ที่ที่พวกเขาอยู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นที่ที่จ้านเซินและถังย่า เรียกว่า“หอคอยC”นั่นเอง ฉินซีนึกย้อนกลับไปถึงรายละเอียดที่ตัวเองเพิ่งเจอมาที่ระเบียงทางเดินชั้นหนึ่งเมื่อกี้นี้ ก็น่าจะเดาได้ว่า ที่หอคอยCนี้น่าจะเป็นศูนย์รวมการทดลองของฐานแห่งนี้ แต่ว่าเพราะอะไรทำไมตอนที่ถังย่าได้ยินจ้านเซินบอกว่าจะพาตัวเองมาที่นี่นั้น ถึงต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ?
แล้วพูดถึงจ้านเซิน
ผู้หญิงที่เห็นตรงหน้านี้ดูจากอายุอานามแล้วก็น่าจะเป็นแม่ของจ้านเซินได้แล้ว แต่ว่าจากน้ำเสียงและคำพูดของจ้านเซินแล้วกลับไม่รู้สึกถึงความเคารพใด ๆ ที่มีต่อเธอเลย อย่างกับว่าพวกเขาสองคนเป็นคนระดับเดียวกันยังไงอย่างงั้น แล้วก็ทบทวนดูจากความทรงจำช่วงก่อนหน้านี้แล้ว จ้านเซินเหมือนกับว่า……จะอยู่ในตำแหน่งผู้ออกคำสั่งมาตลอด
เขาดูแล้วก็อายุน่าจะแค่สิบกว่าปี แล้วทำไมถึงได้มีตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ได้ล่ะ?
ปริศนาเยอะแยะมากมาย อย่างกับก้อนขนแกะที่พันกันยุ่งเหยิงไว้ด้วยกัน แล้วเอามายัดใส่หัวสมองของฉินซีไม่หยุด ทำให้ในใจเธอเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับหาคำตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง
แต่ว่าไม่ว่าตอนนี้ฉินซีจะมีคำถามมากมายแค่ไหน พอผ่านไปสักครู่แล้วลิฟต์ก็ได้มาถึงชั้นยี่สิบหกอยู่ดี ฉินซีกับจ้านเซินและผู้หญิงคนนั้นเดินออกมา แล้วเลี้ยวอีกหลายครั้ง จึงมาหยุดลงตรงหน้าประตูบานหนึ่ง
ทั้ง ๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าสุด แต่ตอนนี้กลับหันหน้ามาทางจ้านเซินและพูดว่า “มัวยืนรออะไรอีกล่ะ?”
จ้านเซินยิ้มขึ้น “คุณยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการผ่านเข้าไปอีกเหรอ?”
ผู้หญิงคนนั้นมองเขาเย็น ๆ ทีหนึ่ง “คุณไม่ได้เข้าใจมากกว่าฉันอยู่แล้วเหรอ?”
ทั้งสองคนโต้ตอบไปมา ในใจของฉินซีก็แน่ใจขึ้นมาแล้วว่า ตำแหน่งของผู้หญิงคนนี้เทียบกับจ้านเซินไม่ได้เลย
จ้านเซินไม่พูดอะไรมาก เดินหน้าเข้าไปสแกนลายนิ้วมือและม่านตา จากนั้นประตูห้องทดลองก็ค่อย ๆ เปิดออก
พอเห็นการตกแต่งของข้างในชัดเจนแล้ว ในที่สุดฉินซีก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
ไม่ได้มีการตกแต่งแบบแปลก ๆ อย่างที่เธอคิดไว้ มีแค่โต๊ะง่าย ๆ ตัวหนึ่งวางไว้ และข้างบนมีกล่องเล็ก ๆ วางไว้กล่องหนึ่ง
รอจนคนทั้งสามคนเข้ามาหมดแล้ว ประตูก็ปิดตามหลังลงอย่างช้า ๆ
จ้านเซินพาฉินซีเดินมาถึงข้างโต๊ะ แล้วให้เธอนั่งลง จากนั้นก็เปิดกล่องออกมา
……ข้างในก็เป็นกล้องส่องทางไกลอันหนึ่ง และหน้าจอแสดงผลอีกอันหนึ่ง
เพียงแต่ว่ามันไม่เหมือนกับกล้องส่องทางไกลธรรมดาที่ถังย่าแจกให้พวกเขาเมื่อกี้ กล้องที่อยู่ในกล่องนี้ดูน่าจะหนักมาก และดูแล้วมันดูคุณภาพดีกว่าแบบที่คุณปู่ฉินใช้ไปส่องทิวทัศน์ซะอีก
ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าไปเอาสมุดจดบันทึกจากไหนมาเล่มหนึ่ง ข้างหน้าก็มีคอมพิวเตอร์วางไว้เครื่องหนึ่ง แล้วนั่งลงที่มุมห้องคนเดียว ไม่ได้พูดอะไรอีก กำลังก้มหน้าเขียนอะไรอยู่บนสมุดนั้น
จ้านเซินไม่ได้สนใจเธอ เขาหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาแล้วยื่นให้ฉินซี และเอาหน้าจอแสดงผลมาวางอยู่หน้าตัวเอง แล้วก็ออกคำสั่งขึ้นว่า “เอาอันนี้ไปที่หน้าต่าง แล้วบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เธอเห็นออกมา”
ฉินซีมึน ๆ งง ๆ แต่ก็ไม่ถามอะไรเยอะ หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแล้วก็เดินไปเลย
“อืม ด้านซ้ายเป็นตึกที่มีความสูงห้าชั้น……” ฉินซีค่อย ๆ พูดทวนสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมาทีละอย่างทีละอย่าง
และยืมใช้สายตาของตัวเองที่สิบขวบ ฉินซีก็สามารถเห็นภาพทั้งหมดของฐานแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน
ฐานแห่งนี้ใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก ค่ายฝึกอบรมที่ว่าของพวกเธอนั้นปกติก็มีพื้นที่ทำกิจกรรมที่ถือได้ว่าไม่เล็กแล้ว แต่ว่ากลับยังไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบของฐานแห่งนี้เลย
นอกจากหอคอยCที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้แล้ว ยังมีตึกใหญ่ระดับสูงใหญ่อีกหลายตึก ไม่รู้ว่ามีไว้ใช้ทำอะไร
พอฉินซีดูจบไปรอบหนึ่งแล้ว จ้านเซินก็พูดขึ้นอีกว่า “เธอไปดูใหม่อีกครั้ง แล้วครั้งนี้เธอรู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างก็พูดออกมาอีกรอบ”
ฉินซีไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ว่าก็ยังคงทำตามอยู่
และแล้วตลอดทั้งบ่าย เธอก็ต้องผ่านพ้นไปด้วยการสังเกตแล้วก็รายงาน สังเกตแล้วก็รายงานวนซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้
จนกระทั่งถึงท้องฟ้ามืดสนิทลงมาจนมองอะไรไม่ชัดเจนแล้ว จ้านเซินถึงเปิดปากพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ กลับมาเถอะ”
ในเวลานี้ก็ท้องของฉินซีก็ร้องจ๊อก ๆ แล้ว เธอจึงรีบกระโดดลงมาจากเก้าอี้อย่างรีบร้อน แล้วเอากล้องส่องทางไกลคืนให้จ้านเซิน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ท่านผู้บัญชาการ พวกเราจะไปกินข้าวได้ตอนไหนคะ?”
จ้านเซินอึ้งไปเล็กน้อย เหมือนกับว่าเพิ่งจะนึกได้ว่าคนจะต้องกินข้าวยังไงอย่างงั้น แล้วก็หันมายิ้มให้ฉินซีเล็กน้อย “วันนี้เธอไม่ต้องไปเบียดที่โรงอาหารแล้ว เดี๋ยวฉันจะให้คนเอาอาหารมาส่งให้ที่นี่ เธอก็กินข้าวที่นี่แล้วกัน”
ฉินซีรู้ว่าเวลานี้ถ้าไปกินข้าวที่โรงอาหารก็ไม่มีอะไรเหลือให้กินแล้ว ก็เลยพยักหน้าตกลง
จ้านเซินพูดต่อว่า “งั้นเธอรออยู่ที่นี่แป๊บหนึ่งนะ นั่งรอดี ๆ อย่าไปแตะต้องอะไรทั้งนั้นนะ”
พอเห็นฉินซีพยักหน้าตอบรับแล้ว เขาถึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปทางมุมห้อง แล้วเริ่มพูดคุยสื่อสารกับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้าง?” เสียงของเขาไม่ถือว่าดังมาก แต่ว่าฉินซีก็ยังสามารถได้ยินชัดเจนดี “เป็นเด็กที่มีหน่วยก้านดีเลยใช่ไหม?”
ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้วขึ้นมาน้อย ๆ แล้วพยักหน้า “ใช่ มีพรสวรรค์ แต่ว่าก็ยังต้องการการฝึกฝนอีกสักหน่อย”
จ้านเซินยิ้มขึ้น “อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
“แต่ว่าก็ต้องรีบ ๆ หน่อยนะ” ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่ฉินซีทีหนึ่ง “อายุสิบขวบ ถือว่าไม่น้อยแล้ว”
จ้านเซินเหมือนว่าไม่ได้สนใจอะไร แล้วยักไหล่ขึ้น “แค่สิบขวบเอง ยังทันอยู่ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”
พอฉินซีฟังมาถึงตรงนี้ อยู่ ๆ ก็ปวดหัวขึ้นมา เหมือนกับว่ามีคนมาผ่าหัวของเธอออกแบบสด ๆ แล้วยัดของมากมายใส่เข้าไปข้างใน
และของพวกนี้ก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นเศษเสี้ยวความทรงจำกองใหญ่
อยู่ในความเจ็บปวดสุดขีดนั้น เศษเสี้ยวความทรงจำพวกนั้นราวกับหนังที่ถูกฉายขึ้นมา กะพริบขึ้นในหัวสมองของเธอราวกับไฟกะพริบสี ๆ
มีภาพเหตุการณ์ที่เธอทำแบบเดียวกันอยู่ในห้องหลาย ๆ ที่ที่เหมือนกับในห้องนี้ แต่ว่าตามความเปลี่ยนแปลงของห้องทดลอง ตรงที่ขมับของเธอก็ปรากฏว่ามีแผ่นติดอยู่สองอัน และจากนั้นไม่นาน ที่หัวของเธอก็มีหลายตำแหน่งที่มีติดแผ่นติดไว้ด้วย
นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผ่นติดวัดคลื่นสมองจากคอมพิวเตอร์เท่านั้น ฉินซีสามารถรู้สึกได้ว่า ที่แผ่นติดเหล่านั้นยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอีกด้วย