บทที่ 1131 แทบล้มประดาตาย
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเธอก็แค่เหล่ตามองไปอย่างนี้ทีเดียว แล้วก็เดินตามถังย่าไปอีกทางหนึ่งแล้ว และไม่ได้ให้โอกาสตัวเองในปัจจุบันได้สังเกตการณ์อย่างละเอียดเลยสักนิด
ฉินซีพบว่า ตอนนี้ตัวเองแค่สามารถใช้เรื่องราวที่สายตาของตัวเองในตอนนั้นมองเห็นและสิ่งที่ร่างกายรับรู้ เพื่อมาคาดคะเนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรอบตัว เพราะฉะนั้น สิ่งที่เห็นและสิ่งที่รับรู้นั้นมีขีดจำกัดเอามาก ๆ
พอมาถึงตอนนี้ เธอก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วว่า เธอไม่ได้กำลังเผชิญกับภาพลวงตาอะไร แต่เธอเพียงแค่กำลังพบกับความทรงจำช่วงหนึ่งที่โดนตัวเองละทิ้งไปใหม่อีกครั้ง
เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์กำหนดอะไร สิ่งที่เธอสามารถมีได้มีแต่ความคิดของตัวเองเท่านั้น แต่ว่าไม่สามารถควบคุมการกระทำและคำพูดของตัวเองได้ เธอเพียงแค่สามารถรับรู้ได้ผ่านดวงตาของตัวเองในตอนนั้น และมองทุกอย่างเกิดขึ้น
อาศัยอยู่ในร่างกายที่อายุสิบขวบของตัวเอง รู้สึกถึงทุกการกระทำของตัวเองที่อายุสิบขวบ และใช้ร่างกายตัวเองที่อายุสิบขวบพูดคำพูดทุกคำ แต่ว่ากลับมีความคิดของตัวเองในปัจจุบันอยู่
ความรู้สึกแบบนี้ มีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง และก็ยังมีความอึดอัดอย่างพูดไม่ออก
ถังย่าพาพวกเธอมาถึงห้องพักที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายห้องหนึ่ง ในห้องไม่ได้กว้างมาก วางเตียงสองชั้นไว้สี่หลัง ตรงกลางมีโต๊ะที่ใหญ่หน่อยตัวหนึ่งวางอยู่ แล้วก็ไม่มีของใช้อย่างอื่นอีกเลย
“ที่นี่คือที่ที่พวกเธอจะพักอยู่ในสองอาทิตย์นี้” ถังย่าพาเด็กสาวทั้งแปดคนเข้ามาในห้อง และแนะนำอย่างผ่าน ๆ “จะแบ่งเตียงนอนกันยังไงนั้นพวกเธอดูกันเอาเองละกัน ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำนั้นล้วนอยู่ที่สุดระเบียงทางเดิน ตามฉันมา……”
ปากของเธอยังอ้า ๆ หุบ ๆ แนะนำอยู่ แต่ว่าฉินซีกลับค่อย ๆ ไม่ได้ยินเสียงเธอพูดแล้ว และใบหน้าของถังย่าก็ค่อย ๆ โดนหมอกขาวเข้ามาบดบัง
ตาของฉินซีหมองมัว แล้วภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งเข้าแถวกันอยู่ในสนามหญ้า เผชิญหน้าอยู่กับจ้านเซินแล้วฟังเขาจัดสรรหน้าที่รับผิดชอบ
หางตาของฉินซีกวาดไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ดูจากสีผิวที่ดำขึ้นมาอีกหลายเท่าของพวกเขาแล้ว แสดงว่าเวลานี้พวกเขาน่าจะอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายวันแล้ว
แล้วเธอก็เอาความสนใจกลับมาอยู่ที่ตัวจ้านเซินที่กำลังพูดอยู่อีกครั้ง
“การฝึกของวันนี้ คือการฝึกจิตใจและความสามารถในการอดทนของพวกเธอ” เสียงของจ้านเซินไม่ได้ดังมาก เหมือนกับว่ายังอยู่ในช่วงเปลี่ยนเสียง เพราะฉะนั้นระดับเสียงยังห่างไกลจากเสียงขรึมต่ำในตอนปัจจุบันมาก แต่ว่าก็ได้มีความเคร่งขรึมบ้างแล้ว “สำหรับเนื้อหาในการฝึกนั้น ก็ยังเป็นคงแบ่งเป็นชายหญิง แล้วต่างฝ่ายต่างไปหาหัวหน้าของตัวเอง หัวหน้าของพวกเธอจะแจกแจงรายละเอียดให้พวกเธอเอง”
พอพูดจบ เขาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอีกคำหนึ่งว่า “แยกย้าย!”
เด็ก ๆ ที่เข้าแถวกันเรียบร้อยอยู่กลับไม่ได้สลายตัวไปจากที่เดิม แต่เป็นเดินไปซ้ายขวาตามแถวที่เข้ากันไว้เรียบร้อยแล้ว และไปหยุดลงตรงหน้าหัวหน้าที่รออยู่ทั้งสองข้าง
ฉินซีเดินตามหลังเด็กสาวหลายคนไปทางถังย่า ในใจเหมือนว่าจะมีความประหลาดใจอยู่บ้าง
สามารถมองออกมาได้ว่า ตอนนี้พวกเด็ก ๆ ได้มีความเป็นกลุ่มก้อนและมีวินัยที่แกร่งกล้าแล้ว จากสายตาที่มองไปทางจ้านเซินของพวกเด็กผู้ชายที่เธอกวาดตาไปมองเห็นนั้น เขาน่าจะได้รับการเคารพนับถือจากเด็กผู้ชายในช่วงอายุนี้เป็นอย่างมาก
แต่ว่าปริศนาของฉินซีก็ยังแก้ไม่ออก
เพราะอะไรทำไมเธอถึงได้ลืมความทรงจำช่วงนี้ไป?
ความทรงจำช่วงนี้ตกลงจะบอกอะไรกันแน่?
เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอรู้ว่าตัวเองยังไม่มีทางได้คำตอบ ได้แต่รอดูกันต่อไปเรื่อย ๆ ถึงจะมีทางได้รับการไขข้อสงสัยได้
พวกเด็ก ๆ ยืนตัวตรงต่อหน้าถังย่า สีหน้าของถังย่ายังคงเรียบเฉย “วันนี้จุดที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจของผู้หญิงคือภูเขาทางด้านทิศตะวันออก รายละเอียดของภารกิจคือ ใช้กล้องส่องทางไกลสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หลังจากกลับมาแล้วให้ส่งรายงานการสังเกตการณ์มาด้วยหนึ่งชุด”
ในใจของฉินซีมีความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้ง ๆ ที่จ้านเซินพูดว่าวันนี้จะฝึกความอดทนของพวกเขา แต่ว่าภารกิจนี้……ดูไปแล้วกลับไม่สามารถฝึกความอดทนของพวกเขาได้เลยนี่?
ถังย่ากวาดตามองทุกคนทีหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “เวลาที่ต้องสังเกตการณ์คือ สามชั่วโมง”
เด็กผู้หญิงข้าง ๆ ฉินซีแอบทำเสียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ดีที่ในสนามตอนนี้กำลังมีคนหลาย ๆ กลุ่มกำลังแจกแจงภารกิจอยู่ ถังย่าก็เลยไม่ได้ยินเสียงของเธอ หลังจากที่เขาพูดจบแล้ว ก็กวาดตามองผู้คนอีกทีหนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นว่า “มีปัญหาอะไรไหม?”
เสียงเด็กแปดคนที่ยังมีน้ำเสียงแบบเด็ก ๆ ตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ไม่มีค่ะ!”
ถังย่าพยักหน้า “งั้นก็เดินตามฉันไปเถอะ”
และแล้วเธอก็หมุนตัว แล้วเดินไปทางทิศตะวันตก
แน่นอนว่าพวกเด็กผู้หญิงก็เดินตามกันไปอย่างเป็นแถว เด็กผู้หญิงข้าง ๆ ฉินซีเบ้ปากให้เธอเล็กน้อย แล้วก็ใช้เสียงเบาที่สามารถได้ยินกันแค่สองคนพร่ำบ่นมาประโยคหนึ่ง “ภูเขาทางด้านทิศตะวันตกนั้นก็เป็นแค่ที่ดินเปล่า ๆ ฝืนหนึ่ง จะมีอะไรให้น่าสังเกตการณ์ได้ถึงสามชั่วโมงกันล่ะ?”
ฉินซีรู้สึกถึงว่าตัวเองยักไหล่อย่างอะไรก็ได้ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เดินตามต่อไป
เดินไปสิบกว่านาที ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่ที่ว่านี้ “ภูเขาด้านทิศตะวันตก”
ค่ายฝึกอบรมทั้งค่ายถูกสร้างไว้ในหุบเขา ตอนแรกฉินซีคิดว่าพวกเขาจะขึ้นไปบนเขาทั้งสองด้านที่สูงกว่า แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเดินไปตรงที่ที่ยังไม่ถึงไหล่เขาด้วยซ้ำก็หยุดลงแล้ว
ตรงหน้าเป็นพื้นปูนซีเมนต์ราบเรียบว่างเปล่าฝืนหนึ่ง ด้านในของพื้นที่ว่างเปล่ายังมีต้นไม้ที่ปลูกลงดินเป็นระเบียบอยู่แถวหนึ่ง แล้วภายใต้แสงแดดจ้าจึงทำให้เกิดร่มเงาออกมาผืนใหญ่
ถังย่าพาพวกเขามาถึงที่โล่งก็หยุดลง แล้วแจกกล้องส่องทางไกลใส่มือพวกเขาคนละหนึ่งอัน เสร็จแล้วก็ถอยไปอยู่ใต้เงาร่มไม้ แล้วพูดขึ้นว่า “เริ่มจับเวลา”
แล้วฉินซีที่อายุสิบขวบก็ถือกล้องส่องทางไกลขึ้นมา แล้วเดินไปรอบ ๆ ผืนดินว่างเปล่า และเริ่มสำรวจขึ้นมารอบหนึ่ง
ที่ดินของที่นี่ไม่ได้สูงนัก สิ่งที่บดบังอยู่ตรงหน้าก็มีไม่น้อย เพราะฉะนั้นสิ่งของที่สามารถมองได้ชัดก็มีไม่เยอะ
ฉินซีพูดอยู่ในใจ คาดว่านี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่อยู่ในที่ทางการทหารแบบนี้ แล้วยังให้วางใจแจกกล้องส่องทางไกลให้พวกเขามาสังเกตการณ์รอบทั้งสี่ทิศอีก
จากตำแหน่งที่ฉินซียืนแล้วมองไปรอบทิศ ด้านซ้ายและด้านขวาต่างก็เป็นผืนป่าเขียวขจี แทบจะมองไม่เห็นอะไรที่มีประโยชน์ ด้านหน้าสามารถมองเห็นฐานที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้บางส่วน ถ้ามองอย่างละเอียดดี ๆ แล้ว จะสามารถมองเห็นที่ฝืนหญ้าบางฝืนในสนาม ก็มีกลุ่มคนเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังทำภารกิจอยู่ มีเด็กผู้ชายหลายคนกำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองสำรวจไปรอบ ๆ อยู่
ฉินซีวางกล้องส่องทางไกลลง กำลังคิดว่าจะใช้ตาเปล่ามองดูรอบ ๆ แล้วถึงพบว่าพวกเด็กผู้หญิงที่สังเกตการณ์อยู่รอบ ๆ ตัวเองเมื่อกี้นั้นได้หายไปกว่าครึ่งแล้ว เหลืออยู่เพียงสองสามคนที่ยังคงใช้กล้องส่องทางไกลคอยมองสำรวจรอบ ๆ อยู่
เด็กผู้หญิงที่พร่ำบ่นกับฉินซีเมื่อกี้เหล่มองไปทางถังย่าทีหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้สังเกตทางนี้อยู่ เธอก็ชิดเข้ามาข้างกายฉินซี แล้วถามเสียงต่ำขึ้นว่า “ทุกคนต่างก็ไปพักที่ใต้ร่มไม้แล้ว เธอจะไปไหม?”
ฉินซีเหลียวกลับไปดูเด็กผู้หญิงหลายคนที่หลบอยู่ใต้ร่มไม้ แล้วอยู่ ๆ ก็เข้าใจเหตุผลที่ผู้ชายและผู้หญิงต้องแยกกัน
พวกเด็กผู้ชายที่อยู่สนามจะต้องอยู่บนฝืนหญ้า น่าจะต้องมีแมลงมาคอยรบกวนอยู่ไม่น้อย และรอบข้างก็โล่งแจ้งไม่มีอะไรมาบดบัง จึงไม่มีทางที่จะมีที่ร่ม ๆ อะไรมาให้ใช้หลบแดด
ด้านหนึ่งคือที่ที่เกือบจะไม่มีอะไรให้สำรวจเลยแต่กลับต้องอยู่สังเกตการณ์ถึงสามชั่วโมงอย่างเบื่อหน่าย ถือเป็นความอดทนแบบหนึ่ง แต่ว่าแดดแรง ๆ สามชั่วโมงและการรบกวนจากแมลง ก็ยิ่งเป็นความอดทนอีกแบบหนึ่ง
มันสามารถเข้าถึงเป้าหมายในการฝึกอบรมอย่าที่ปากของจ้านเซินพูดไว้ได้จริง ๆ ถึงว่าสีผิวของพวกเด็กผู้ชายถึงได้เข้มขึ้นมาหลายเท่า
แต่ว่านี่กลับเป็นแค่การต่อกรกับเด็กผู้ชายเท่านั้น
ส่วนพวกเธอที่เป็นลูกคุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่มีทางที่จะต้องมาตากแดดภายใต้แดดแรงจัด แล้วถ้าหากว่าโดนแมลงกัดต่อยฟรี ๆ ขึ้นมา ก็อาจจะต้องโวยวายกันขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง
และก็ต้องลำบากพวกถังย่า ที่ต้องมาหาที่แบบนี้ออกมาได้อย่างแทบล้มประดาตาย