บทที่ 1122 ทำคลิปปลอมไม่ได้
“ว่าไง ไม่มีคนรับสายหรือ” ใบหน้าของจ้านเซินยังคงมีรอยยิ้มไม่แยแส “ผมบอกแล้วไง ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจคุณหรอก”
ฉินซีเม้มริมฝีปาก ไม่ยอมพูด มือยังคงกำมือถือแน่น ราวกับต้องการลองโทรออกไปอีกครั้ง
จ้านเซินไม่คิดจะห้ามเธอ ท่าทางไม่แยแส “คุณโทรไปอีกกี่ทีก็ไม่มีประโยชน์ ผมบอกแล้วไง ตอนนี้เขาไม่มีทางรับสายคุณ ตอนนี้เขา…คงอยู่ในเรือนจำมั้ง”
ฉินซีรีบหันไปมองเขา “เรือนจำหรือ”
จ้านเซินยิ้ม โบกมือ “เข้าใจผิดแล้ว ผมพูดไม่ชัดเอง เขาไม่ได้ทำผิดถึงเข้าไปในนั้น เขาไปเยี่ยมคนในคุก หรือพูดอีกที…ขอแต่งงาน”
ฉินซีขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความงุนงง
ไปคุกเพื่อขอแต่งงานอย่างนั้นหรือ
จ้านเซินกลับไม่ยอมอธิบายอะไรอีก กดมือถือของตัวเอง แล้วยื่นมือถือมาตรงหน้าฉินซี “คุณดูเองละกัน”
หน้าจอมือถือของเขาฉายคลิป ดูแล้วเหมือนภาพที่ถ่ายจากกล้องวงจรปิด ในภาพคือห้องที่ไม่ได้ตกแต่งอะไร คนที่นั่งอยู่สองฝั่งของโต๊ะตัวใหญ่คือลู่เซิ่นกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
ภาพจากกล้องวงจรปิดคุณภาพไม่ดีนัก ฉินซีเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ชัด เห็นแต่รูปร่างของผู้หญิงผอมบาง สวมชุดนักโทษ ยิ่งดูเศร้าสร้อย
ฉินซีรู้สึกว่าเค้าหน้าของผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีเวลาให้เธอนึกย้อนความทรงจำ
ในหัวของเธอมีคำถามมากมาย จนไม่รู้จะถามคำถามไหนก่อนดีในเวลาอันสั้น จึงได้แต่สังเกตภาพบนมือถือของ
จ้านเซิน
จ้านเซินคงจะเห็นเธอตั้งอกตั้งใจดู คิดว่าเธอคงจะใส่ใจคลิปนี้มาก จึงอธิบายเอง “ผมรู้ว่าคุณสงสัยว่าจริงมั้ย แต่ผมบอกคุณได้ นี่คือภาพเรียลไทม์จากกล้องวงจรปิดในเรือนจำ ผมทำคลิปปลอมไม่ได้”
ฉินซีขมวดคิ้ว ดูไม่ออกว่าเชื่อหรือไม่
ดูเหมือนจ้านเซินยังไม่ย่อท้อ ยื่นมือถือไปตรงหน้าเธอ “ไม่เชื่อก็ดูนี่สิ”
เขากดอีกที มือถือปรากฏอีกภาพหนึ่ง
ยังคงเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ดูเหมือนจะเป็นทางเดิน แม้ภาพจะมัว แต่ฉินซีก็ดูออก คนที่ยืนใกล้กล้องวงจรปิดมากที่สุด ก็คือหลินหยัง
คิ้วของเธอยังคงขมวดแน่น ไม่พูดอะไร
จ้านเซินไม่สนใจท่าทีเย็นชาของเธอ อธิบายต่อไป “คุณน่าจะรู้จักคนนี้ใช่มั้ย ผู้ช่วยของลู่เซิ่น รอเขาอยู่ที่หน้าประตู ถ้าคุณไม่เชื่อนี่เป็นภาพเรียลไทม์ ลองโทรไปหาเขาดูสิ ผมเปิดเสียงภาพจากกล้องวงจรปิด คุณก็จะรู้ ผมแต่งภาพกล้องวงจรปิดไม่ได้”
เขามองฉินซีอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่ฉินซีกลับนิ่งเฉย เพียงแต่มองเขาสายตาเย็นชา “คุณคือใครกันแน่”
ทั้งเสียง คลิป และภาพกล้องวงจรปิดเรียลไทม์ ไม่มีทางที่พนักงานบริษัทพีอาร์ธรรมดาๆ จะทำได้
อีกอย่างหนึ่ง เธอไม่เคยเชื่อมาก่อน เขาจะเป็นเพียงพนักงานธรรมดา
จ้านเซินอึ้งไป แล้วยิ้มกว้าง “คุณจะนึกออกเองผมคือใคร แต่ตอนนี้ ผมแนะนำให้นะ โทรไปหาผู้ช่วยหลินคนนี้ก่อน ในเมื่อ…โอกาสยืนยันจริงเท็จไม่มาก ผมไม่อยากให้ต่อจากนี้ไปคุณสงสัยในตัวผม”
ฉินซียังคงนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม
แน่นอนว่าเธอไม่ใช่คนที่ใครจะมาพูดอะไรให้หวั่นไหวง่ายๆ
ดูเหมือนจ้านเซินจะเตรียมพร้อมกับการระมัดระวังตัวของเธอมาแล้ว เขาหยิบมือถือออกมาอีกเครื่องหนึ่ง ยิ้มให้ ฉินซี ก้มหน้ากดหมายเลขหนึ่ง เลือกแบบแฮนด์ฟรี แล้ววางลงบนโต๊ะ จากนั้นกดมือถือที่ฉายภาพกล้องวงจรปิด มือถือเครื่องนั้นก็มีเสียงเบาๆ ออกมา
ฉินซีเข้าใจดี เขาเปิดเสียงจากกล้องวงจรปิด
เธอไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่จ้องมองภาพกล้องวงจรปิดในมือถือ
มือถือเครื่องที่ใช้โทรออกมีเสียงตู๊ดๆ ดังขึ้น ดังสะท้อนในห้องที่ทั้งมืดและเงียบ
แต่ใจของฉินซีต่างจากเสียงรอสายที่ดังออกมาแช่มช้า ไม่กี่วินาทีต่อมา หลินหยังที่อยู่ในกล้องวงจรปิดขยับตัว เขาก้มมองมือถือของตัวเอง มีท่าทีสงสัย จ้องมองหน้าจอมือถือครู่ใหญ่ ขมวดคิ้วนิดๆ กดรับสาย
“สวัสดีครับ ใครพูดสายครับ”
เพราะเวลาการส่งสัญญาณที่ต่างกัน ประโยคนี้ออกมาจากมือถือสองเครื่องไม่พร้อมกัน
แต่ไม่ผิดแน่นอน เป็นคำพูดเดียวกัน
ฉินซีหลับตา
จ้านเซินรู้ว่าเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงไม่โทรต่อ แต่ตัดสายทิ้งดื้อๆ
สายตาของฉินซียังคงหยุดอยู่ที่ภาพกล้องวงจรปิด เธอมองท่าทีสงสัยของหลินหยัง แต่สุดท้ายเข้าก็เก็บมือถือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
“ผมบอกแล้วไง นี่คือภาพกล้องเรียลไทม์ ผมไม่มีทางหลอกคุณ” จ้านเซินพูดไปพลาง จับภาพกลับไปในห้องที่ลู่เซิ่นนั่งอยู่
เขายังไม่ปิดเสียงกล้องวงจรปิด ฉินซีจึงได้ยินเสียงของลู่เซิ่นที่ดังออกมาจากมือถือแจ่มชัด “…ถ้าคุณกลายเป็นคุณนายลู่ แน่นอนว่าคุณจะไม่ต้องคดีฆ่าคนตายต่อไป…”
เธอทำท่าเหมือนทนฟังไม่ได้ ยื่นมือไปปิดหน้าจอมือถือ
ห้องนอนที่ไม่ได้เปิดไฟมาแต่แรก เมื่อปิดมือถือ เสียงเงียบหายไป แสงสว่างในห้องพลันหายไป ทั้งห้องจึงเงียบงันมืดมิดอีกครั้ง
“…คุณคือใครกันแน่” เสียงของฉินซีลอดออกมาจากไรฟัน แต่แฝงด้วยความอ่อนล้าที่ยากจะเอ่ยเป็นคำพูด
จ้านเซินเลิกคิ้ว ไม่ตอบคำถามของเธอ แต่กลับย้อนถาม “คุณไม่รู้จริงๆ หรือผมคือใคร”
ฉินซีเงียบ
เธอไม่มีทางบอกกับ จ้านเซินว่าเธอสูญเสียความทรงจำบางส่วน เธอจึงไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกที่ตัวเองรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักกับเขาได้อย่างไร แต่กลับนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง
จ้านเซินเหมือนจะเคยชินแล้วกับท่าทีนิ่งขรึมของเธอในคืนนี้ ไม่รอคำตอบของเธอ ก็พูดขึ้น “ผมคิดว่า ถึงคุณจะสูญเสียความทรงจำ ก็น่าจะรู้สึกคุ้นเคยกับผมบ้างไม่มากก็น้อย ไม่อย่างนั้นตอนแรกที่รู้ว่าผมบุกเข้ามาในห้องนอน คุณก็น่าจะโทรเรียกพวกการ์ดที่นี่มาจับผมแล้ว”
ตอนที่พูดถึง “พวกการ์ด” น้ำเสียงจ้านเซินแฝงการดูถูกหน่อยๆ เหมือนจะไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา และไม่เชื่อว่าพวกเขาจะ “จับตัวเขาได้” จริงๆ
ฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องที่เขาไม่แยแสการ์ดของรีสอร์ทชิงหยวน เธอเพียงแต่จ้องมองไปทางจ้านเซิน“คุณรู้ว่าฉัน…”
เธอพูดยังไม่ทันจบ เพื่อไม่ให้จ้านเซินหลอกให้เธอพูดอะไร ยิ่งเธอพูดมากก็จะเป็นการเปิดเผยข้อมูล
เธอค่อยๆ เคยชินกับความมืดในห้อง แต่ยังคงมองเห็นสีหน้าของจ้านเซินไม่ชัด เห็นแต่เพียงเค้าหน้าของเขาเท่านั้น
แต่แม้จะไม่เห็นแค่ไม่กี่วินาที เธอกลับแทบจะวาดภาพสีหน้าเวลานี้ของจ้านเซินในหัวได้
มุมปากคงจะเผยอ หรี่ตานิดๆ โดยรวมแล้วแสดงความรู้สึกที่รู้สึกว่าน่าขบขัน ใช้น้ำเสียงที่เหมือนได้ฟังเรื่องตลก “แน่นอนว่าผมรู้ คุณสูญเสียความทรงจำ”