บทที่ 1116 เล่นละครฉากนี้ได้ดี
ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าฉินซีได้สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน และยังคงมึนงงกับคำแนะนำของคุณหมอเธอ
พริบตาเดียว เรื่องนี้ก็ผ่านมานานมากแล้ว
เมื่อตระหนักรู้ว่าความคิดของตัวเองได้ล่องลอยไปหาฉินซีอีกครั้ง ลู่เซิ่นก็ถอนหายใจภายในใจ ก่อนที่จะเรียกสติของตัวเองให้กลับมาจดจ่อกับหญิงสาวตรงหน้า
เมื่อมองมายังเธอ ก็พบว่าใบหน้าของเวินจิ้งมีริ้วสีแดงนิดหน่อย
——เขาไม่รู้จริงๆ ว่าที่เมื่อกี้ตัวเองตกอยู่ในภวังค์นั้น สายตาได้ทอดหยุดมองไปยังเธอเนิ่นนาน จนเธอมีอาการเขินอาย
เมื่อไม่สามารถทนถูกเขาจ้องมองได้อีกต่อไป เวินจิ้งจึงยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “คุณมาที่นี่ เพื่อที่จะมองฉันเหรอคะ?”
เมื่อโดนเธอพูดแบบนี้ใส่ เขาก็นึกออกโดนทันทีว่ามาหาเธอเพราะเรื่องอะไร
——เขามาขอเธอแต่งงาน
ลู่เซิ่นกระแอมในลำคอ ก่อนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมแค่กำลังประเมิน ว่าคุณเหมาะที่จะมาเป็นภรรยาผมหรือเปล่า”
แน่นอน เมื่อตัวเองพูดประโยคนี้ออกมา หญิงสาวตรงหน้าจึงแสดงสีหน้ามึนงงขึ้นมาทันตา
ใครโดนขอแต่งงานแบบนี้ ก็งงเป็นธรรมดาไหมล่ะ
เธอเหลืองมองขึ้นลง ประเมินด้วยสายตา แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่มุมปาก แต่ลู่เซิ่นได้ยินเสียงที่เธอตอบกลับมาด้วยความไม่พอใจ “นี่คุณแอบรักฉันมานานเหรอคะ? ถึงได้มาหาถึงคุกที่นี่เลยเชียว”
น้ำเสียงของเธอคล้ายกับว่ากำลังเย้ยหยัน และท่าทางเหมือนเขินอาย แต่ลู่เซิ่นมองออกว่าเธอไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
ลู่เซิ่นไม่คาดคิดว่าเธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้
เขาคาดเดามาก่อนว่าเวินจิ้งอาจจะมีความสงสัย หรืออาจจะมองว่าเขาไม่ปกติ ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะมีปฏิกิริยาที่ดูจะสบายๆและไม่มีทีท่าว่าจะตกใจเลยสักนิด
ดูท่า ผู้หญิงคนนี้จะรับมือยากกว่าที่เขาเคยคิดไว้
เมื่อตระหนักรู้ถึงข้อนี้แล้ว ลู่เซิ่นนิ่งคิดสักพัก เขาไม่คิดที่จะพูดอ้อมค้อม แต่เป็นการมุ่งตรงไปยังผลประโยชน์สูงสุดของเธอเลย “แต่งงานกับผม ผมสามารถพาคุณออกไปจากเมืองหนานได้ และไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น”
เขาคิดว่านี่จะเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจเวินจิ้งที่สุด ไม่ว่ายังไงเธอก็คงไม่เมินเฉยกับข้อเสนอนี้ดีๆแบบนี้แน่
ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อพูดออกไปแล้ว เธอกลับยังคงแสดงสีหน้าเดิม ยิ้มเล็กน้อย ก่อนพูด “ฉันแต่งงานแล้วค่ะ คุณก็น่าจะรู้ว่าสามีของฉันเป็นคนยังไง”
ลู่เซิ่นอารมณ์เสียอย่างอธิบายไม่ถูก บวกกับน้ำเสียงโอ้อวด และสายตาของเธอที่มองมา “ดูเหมือนว่าคุณจะยังเชื่อ ว่าเขาจะมาช่วยคุณนะครับ”
เวินจิ้งไม่ได้หงุดหงิดกับท่าทีน้ำเสียงของเขา เธอยังคงตอบอย่างใจเย็นแบบฉบับของเธอ “ก็คงเชื่อเขามากกว่าคนแปลกหน้าแบบคุณล่ะค่ะ”
ในขณะนี้ลู่เซิ่นรู้สึกชื่นชมเวินจิ้งขึ้นมาเล็กน้อย
คิดในอีกแง่หนึ่ง ถ้าหากลู่เซิ่นเป็นคนที่นั่งอยู่ที่นี่แทนเธอตอนนี้ และมีมือยื่นมาให้ความช่วยเหลือ เขาคงไม่รอช้าแน่
แต่ … เมื่อคิดได้ว่าเขามาที่นี่ทำไมแล้ว ลู่เซิ่นจึงกระแอมไอในลำคอเบา ๆ
เขาต้องทำให้เวินจิ้งยอมให้ได้
เขาเป็นคนแปลกหน้าของเวินจิ้ง แต่มู่วี่สิงเป็นสามีของเธอ
เขาจะทำให้เธอเชื่อใจในตัวเองได้อย่างไร?
ลู่เซิ่นนั่งคิดสักพัก นึกย้อนไปถึงข้อมูลที่เขาได้อ่านมันเมื่อวาน ก่อนที่จะพูดขึ้นมาช้าๆด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“แม้ว่าตอนนี้เขาจะสนิทสนมกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่น่ะเหรอครับ?” ลู่เซิ่นมองตรงไปยังเธอ “คุณเวิน ผู้ชายบนโลกนี้ไม่มีใครที่จะให้ความสำคัญผู้หญิงไปมากกว่าอำนาจหรอกนะครับ มันคือธรรมของผู้ชายอย่างพวกผม”
เวินจิ้งยังคงมีแต่ความสงบฉายชัดบนวงหน้างาม เธอยิ้มให้เขา ก่อนพูด “คุณเป็นแบบนั้นด้วยไหมคะ?”
ลู่เซิ่นมุ่นคิ้วหนัก ก่อนจะหยุดลง เมื่อทันใดเขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง
ถ้าหากนำฉินซีกับอำนาจวางไว้ข้างกัน แล้วให้เขาเลือก เขาในตอนนี้… …กลับไม่แน่ใจ
ใจเย็นๆ ลู่เซิ่นพูดกับตัวเอง
เขาต้องลืมให้ได้ว่าเขาเป็นผู้ชายกับคนละคนเมื่ออยู่กับฉินซี ถึงจะแสดงออกมาได้อย่างแนบเนียนในละครบทนี้
ดังนั้น เขาจึงเล่นละครต่อไป “แน่นอน”
ปฏิกิริยาของเวินจิ้งยังคงนิ่งสงบ บนใบหน้าปรากฏร่องรอยของความชื่นชม “อืม ก็จริงที่ผู้ชายไม่ต้องเสียสละเพื่อผู้หญิงอะไรขนาดนั้น”
เมื่อเธอพูดขึ้นมา ความรู้สึกของลู่เซิ่นจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตอนที่เขากำลังจะมาที่นี่ เขาได้ฟังเรื่องในอดีตของมู่วี่สิงและเวินจิ้งมาจากหลินหยัง มองในมุมของลู่เซิ่น เขาคิดว่าเรื่องของพวกเขาสองคนมันดูไม่จบแถมยังยืดเยื้อ น่ารำคาญ
กระทั่งภาพในใจของลู่เซิ่นที่มองไปยังเวินจิ้ง คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ยอมตายได้เพื่อความรัก
แต่เมื่อเห็นเธอตอบเขากลับมาแบบนี้ด้วยสายตาตัวเองแล้ว กลับประหลาดใจขึ้นมา
ไม่ว่าเธอจะน่าทึ่งขนาดไหนในสายตาเขา แต่ลู่เซิ่นก็ได้รับปากกับหลินยี่ไว้แล้วว่าเขาจะมาช่วยเธอ
ในเมื่ออิสรภาพไม่สามารถหลอกล่อเธอได้ เขาจึงจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีอื่นมาหลอกล่อ
ดังนั้นเขาจึงดึงหัวข้อเดิมกลับมากะทันหัน เลิกคิ้วก่อนพูด “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ คุณไม่พิจารณาผมบ้างหรือ? ถ้ามาเป็นภรรยาของ ผมจะไม่ให้คุณต้องเผชิญกับปัญหาที่มันหนักขนาดนี้ และเมื่อเทียบกับมู่วี่สิงที่เกือบจะฆ่าพี่ชายคุณแล้ว ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ชายคุณ ก็ถือว่าเป็นเหมือนพี่น้องกันจริงๆ”
“เป็นเหมือนพี่น้อง” สี่คำนี้ ที่ลู่เซิ่นพูดออกมาแน่นอนว่าเพื่อที่จะเอาชนะสิ่งกีดขวางภายในใจเธอเท่านั้น มันก็แค่เรื่องที่ไม่เป็นความจริง
ความสัมพันธ์ของเขากับหลินยี่ ไม่เหมือนพี่น้องเลยสักนิด ถ้าหากไม่ใช่เพศเดียวกันแล้ว ก็คงเปรียบได้ว่าเหมือนเป็นคู่รักคู่แค้นกันอะไรประมาณนั้น
แต่ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ไพ่ในมือของเขามีอะไรขึ้นมาบ้าง
มีร่องรอยบางอย่างที่ออกมาจากใบหน้าที่สงบนิ่งของเวินจิ้ง เธอหันใบหน้า พิจารณามองมาที่เขาอีกครั้ง นานทีเดียวกว่าที่เธอจะเปิดปากพูดออกมา น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่คุยกัน “คุณเป็นใครกันแน่?”
ลู่เซิ่นกดยิ้มที่มุมปาก จนถึงผู้หญิงคนนี้ก็อยากรู้อยู่แค่คำถามนี้
เขายักไหล่ ก่อนพูด “ลู่เซิ่น”
เห็นได้ชัดว่าที่เวินจิ้งถามคำถามนี้ เจตนาไม่ได้สนใจเขา แต่เป็นหลินยี่ “เมื่อกี้คุณพูดว่า มู่วี่สิง เขา เกือบจะฆ่าพี่ชายของฉัน?”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วจางๆ
เขารู้ได้แทบจะทันที ว่าเวินจิ้งไม่ได้ตั้งใจเน้นหนักกับคำพูดที่ว่า “เกือบจะ” ข้างบน
สิ่งที่เธอสนใจจริงๆคือความปลอดภัยของหลินยี่
ลู่เซิ่นมั่นใจว่าครั้งนี้เขาเปิดไพ่ถูกใบ
แค่เขาต้องทำเป็นว่าละครฉากนี้เป็นแค่การมาเพื่อเจรจาเท่านั้น
เวินจิ้งให้เขาเห็นจุดอ่อน จะปล่อยให้มันผ่านไปได้ยังไงกัน?
ดังนั้นเขาจึงใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อที่จะคุยกับเธอ “ยังไม่ตาย แต่ก็เกือบ ดังนั้นผมเลยใช้คำว่าเกือบจะ”
ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงทันตา แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าเท่าใดนัก แต่สายตาที่เฉียบแหลมของลู่เซิ่นเห็นว่ามือของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่น
เขารู้ ว่าแผนของเขามันสำเร็จแล้ว
ไม่นาน เสียงแหบแห้งของเธอจึงดังขึ้นมาว่า “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”