บทที่ 1112 รักกันและกัน
เมื่อคำพูดนั้นออกมาจากความคิดของลู่เซิ่น ตาของลู่เซิ่นก็สว่างขึ้น
ก่อนที่เขากับฉินซีจะแต่งงานกัน พิธีการอะไรก็ไม่มี จะมีก็แค่จดใบทะเบียนสมรสง่ายๆ และพ่อบ้านมีการจุดดอกไม้ไฟฉลองให้เท่านั้น แค่นั้นเอง
ย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นดูเหมือนว่าหน้าตาของเขาจะดูเคร่งขรึม แต่ภายในใจก็มีความสับสนมึนงงอยู่บ้าง
เพราะเขาไม่ค่อยจะเชื่อ ว่าในที่สุดตัวเองจะได้แต่งงานกับฉินซี
ตอนที่ฉินซีพูดเรื่องการแต่งงานกับเขา ลู่เซิ่นรู้ได้ทันที ว่าการแต่งงานครั้งนี้มันไม่เรียบง่ายอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ
มันเหมือนกับมีคนเอาดวงดาวแสนสวยที่ถึงอย่างไรเขาก็คว้ามาครอบครองเอาไว้ไม่ได้ นำมาวางไว้ตรงหน้า
จะควบคุมมือของตัวเองไม่ให้ไปหยิบเอามาไหมล่ะ?
แต่ก็เพราะรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มันไม่ง่าย ดังนั้นตอนที่ฉินซีพูดเรื่องการแต่งงานออกมา เขาจึงตกลงอย่างไม่ลังเล
เขาแค่ไม่คาดคิดว่า นึกไม่ถึงว่าภายหลังจะยุ่งยากขนาดนี้
แต่ว่าตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นโอกาสที่ดีแล้วหรือ?
เขาและฉินซีรักกัน และมีกันและกัน
ไม่ใช่เป็นแค่ฉากบังหน้าตอนนั้น
รอให้เขากลับไปประเทศF ก่อนเถอะ เขาจะลองขอฉินซีแต่งงานอีกรอบ เขาก็จะได้มีโอกาสจัดงานแต่งงานที่มันยิ่งใหญ่โอ่อ่า เพื่อเป็นการชดเชยในส่วนที่เขาไม่ได้ทำ
เมื่อไม่กี่ปีก่อน ลู่เซิ่นได้ไปร่วมงานแต่งของลูกชายลุงรอง
ในสถานะที่เป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งแม่ทำให้เข้ากับกับคนบ้านตระกูลลู่ ไม่ดีเท่าไหร่ ต้องเรียนภาษาจีน และไม่ได้ให้ความสนใจกับธุรกิจครอบครัวนัก ลุงรองไม่เคยบังคับเขาเลย ตามใจมาตลอด ทำให้เขาวันๆก็ศึกษาแต่เอกสารโบราณเหล่านั้นของตัวเองไป
และเมื่อลูกพี่ลูกน้องคนนั้นถึงวัยแต่งงาน ตัวเองก็เลือกที่จะแต่งงานกับหญิงสาวที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน
ลู่เซิ่นจำหน้าตาของภรรยาลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่ได้ เป็นแค่ความประทับใจที่เลือนรางในความทรงจำ แม้จะอยู่ในชุดเจ้าสาวที่ตกแต่งเกินความเป็นจริง รูปร่างหน้าตาเธอจัดได้ว่าสวยงาม แต่ได้ยินมาว่าพื้นเพทางบ้านของเธอค่อนข้างธรรมดา
การแต่งงานครั้งนั้นของลูกพี่ลูกน้องลู่เซิ่นถูกกดดันโดยสูหยิงทั้งหมด ดังนั้นงานจึงดูน่าเบื่อ ขาดๆเกินๆ ไม่มีความเป็นธรรมชาติ เขายืนถือแก้วแชมเปญอยู่ตรงมุมของงานแต่งเงียบๆ ขี้เกียจที่จะเข้าไปเสวนากับใคร ดังนั้นเขาจึงสามารถมองเห็นท่าทางของลูกพี่ลูกน้องตัวเองได้ชัดเจน
เขาไม่ค่อยสนิทกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้มากนัก จำได้ว่าตอนเด็กๆเขาต้องจมอยู่กับกองหนังสือตลอดทั้งปีเพื่อเรียนหนังสือ ไม่ค่อยได้ยิ้มหัวเราะเหมือนเด็กคนอื่นนัก ทว่าวันสำคัญวันนั้น รอยยิ้มของเขามันสว่างไสวเหลือเกิน
ในเวลานั้นลู่เซิ่นไม่อาจที่จะเข้าใจความหมายของรอยยิ้มบนใบหน้านั้นได้เลย
จากการวิเคราะห์ในมุมมองของลู่เซิ่น ตระกูลลู่สามารถปล่อยให้ลูกพี่ลูกน้องเขาคนนี้ทำตามใจปรารถนาได้ ก็คือเป็นการประกาศตบตาคนอื่น ว่าเขาได้ถูกตัดสิทธิ์ออกจากตระกูลลู่แล้ว ที่เขาได้มากที่สุดก็คือยังได้รับเงินปันผลของพ่อเขาอยู่ แต่ไม่สามารถร่วมโปรเจ็กท์ใหญ่ๆของตระกูลลู่ได้อีก คงอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ ที่เขาจัดงานแต่งที่ดูเรียบง่ายไม่หรูหรา แขกที่มาส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อที่จะมาหาเขาหรือสูหยิงเท่านั้น เพื่อที่จะมาแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวก็มีน้อยเหลือเกิน
จะไปมีความสุขอะไรกับงานแต่งแบบนี้กัน?
ลู่เซิ่นไม่เข้าใจ
แต่ตอนนี้ จู่ๆเขากลับเข้าใจอะไรขึ้นมา
ลูกพี่ลูกน้องเขาคนนั้นดีใจ ไม่ใช่เพราะงานแต่งงาน แต่เป็นเพราะหลังจากงานแต่งจะได้สร้างครอบครัวที่ตนปรารถนาเสียที
นี่เองคือสิ่งที่มีความสุข
งานแต่งงานก็เหมือนพิธีการอย่างหนึ่ง แต่ว่าทุกๆพิธีการแบบนี้ในหนึ่งชีวิต ก็เป็นหลักบอกระยะทาง บันทึกไว้ว่าตอนนี้เส้นทางชีวิตกำลังเดินไปในทิศทางไหน
เขาและฉินซีพลาดไป แต่เขากำลังที่จะทดแทนให้ในส่วนที่ทำมันขาด
เมื่อคิดได้แบบนี้ เหมือนกับว่าตอนนี้เขากำลังจะขอฉินซีแต่งงานเสียอย่างนั้น ในใจเหมือนมีลูกโป่งลอยล่อง อัดแน่นไปหมดก่อนที่จะระเบิดออกมา
เป็นเวลาดึกมากแล้ว เขาคงไปปลุกหลินหยัง เพื่อที่จะฝากฝังในเรื่องเตรียมจัดงานแต่งงานไม่ได้ ทำได้เพียงพิมพ์โน้ตในมือถือ จั่วหัวไว้ว่า “เตรียมงานแต่งงาน” ก่อนที่จะจัดให้หัวข้อนั้นเป็นหัวข้อที่สำคัญที่สุดในโทรศัพท์เขา
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ เขาก็มองไปดูยังโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง
ยังคงไม่มีการติดต่อมาของฉินซี
… …รถอาจจะติด
เขาบอกตัวเองแบบนั้น
แต่เรื่องที่จะจัดงานแต่งงานกับฉินซีนั้นทำให้เขาลิงโลดจนนอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้น เขาลุกขึ้นมา ก่อนจะเปิดหาในไบ๋ตู้ พิมพ์สี่คำลงไปว่า “พิธีแต่งงาน” และคลิกค้นหาทันที
… …
ฉินซีก้าวอย่างระมัดระวัง กำลังจะย่างเท้าก้าวเข้าไปภายในห้องมืด
ตอนนี้เธอรู้ว่าไอ้ความรู้สึกที่สั่นสะท้านแถมเหงื่อออกจนตัวเย็นนี่มันมาจากไหน
——ลูกบิดประตูห้องมืดนั้นยังคงหลงเหลืออุณหภูมิจากร่างกายคน
ลูกบิดประตูทำจากโลหะ มันยังคงเหลืออุณหภูมิอยู่ ชั่วครู่ก็คงไม่เหลือความร้อน เห็นได้ว่าเพิ่งจะมีคนจับไปก่อนเธอ
ฉินซีมองซ้ายขวาตามทางเดิน แต่มันว่างเปล่า ไม่สามารถมีใครหลบตรงมุมแล้วจะรอดพ้นสายตาเธอไปได้ ถ้ามีคนมาแล้วไม่อยู่ตามทางเดิน ทางเดียวที่เป็นไปได้ ก็คืออยู่ในห้อง
——คนคนนั้นอยู่ในห้องมืดห้องนี้
แม่บ้านคนงานที่ทำงานอยู่ในรีสอร์ทชิงหยวนต่างก็เป็นคนของเธอ ถ้าไม่มีอะไรที่เป็นคำสั่งเธอ จะไม่มีใครย่างกรายเข้ามาแน่ แม้แต่จะเข้ามาทำความสะอาดก็ไม่ให้เข้ามา ดังนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่แม่บ้านของเธอ
แล้วใคร?
รูม่านตาของฉินซีหดตัวลงด้วยความกลัว เธอค่อยๆเดินเข้าไปในห้อง และเปิดประตูด้วยความระมัดระวัง
มืออีกข้างของเธอกำโทรศัพท์แน่น เตรียมเอาไว้เผื่อถ้ามีอะไรเธอจะได้ต่อสายหาบอดี้การ์ดของเธอทันที
แสงในตอนเที่ยงสว่างจ้า ส่องผ่านหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานลงมายังทางเดินเข้าไปในห้อง ดังนั้นฉินซีจึงสามารถมองเห็นภายในห้องมืดผ่านแสงที่ส่องลงมา
ห้องมืดมีขนาดเล็กจึงสามารถมองเห็นได้แทบจะในคราเดียว – ในห้องนั้นมันว่างเปล่า
ประตูห้องมืดถูกดึงเอาไว้จากข้างนอก ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะมีคนซ่อนอยู่ได้
ก่อนที่ฉินซีจะขึ้นมา เธอได้กำชับให้เหล่าคนงานลงไปหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทั้งชั้นจึงอยู่ในความสงบ และเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเป็นเวลานาน รอบตัวเงียบสงัดไร้เสียงใดใด ที่จะทำให้ได้ยินว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ได้
หรือเธอจะเข้าใจผิดไปเอง?
ฉินซีอดไม่ได้ที่จะสงสัยในความรู้สึกของเธอเองตอนนี้
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้าไปในห้อง
ถ้าหากไม่มีใครอยู่ในห้อง แล้วเธอเรียกยามขึ้นมาแล้วละก็ จะทำให้เหล่าแม่บ้านเป็นกังวลกัน
แต่ฉินซียังคงระวังตัวทุกย่างก้าว ขาข้างหนึ่งของเธอยื่นเข้าไปข้างใน ส่วนอีกข้างยังคงอยู่ข้างนอก มีแค่หัวเท่านั้นยื่นเข้าไปสำรวจข้าง
——แค่เงาคนก็ยังไม่มีเลย
ห้องนี้ยังคงเป็นแบบเดิมกับครั้งก่อนที่ขึ้นมาดู กล่องต่างๆยังคงวางระเกะระกะตามมุมห้อง มีบางกล่องถูกเปิดออกและวางทิ้งไว้ ห้องเล็กขนาดนี้ จะไปมีคนซ่อนอยู่ได้ยังไง
เธอคงกังวลมากเกินไปเอง
ฉินซีขมวดคิ้ว พลางกัดริมฝีปากของตัวเอง
แต่ความรู้สึกที่ได้จับลูกบิด อุณหภูมิที่สัมผัสนั้น ไม่ใช่ปฏิกิริยาอะไรของโลหะเป็นแน่ ……
เธอทั้งคิดอีกรอบด้วย ทั้งกวาดสายตาดูสิ่งต่างๆภายในมุมมืดในห้องอีกครั้งไปด้วย
แต่ครั้งนี้ เธอกลับพบสิ่งผิดปกติบางอย่างเข้าแล้ว
——บนกองเศษขยะ ได้มีโน้ตบุ๊กของเธอวางอยู่บนนั้น
เธอมั่นใจ ว่าตัวเองไม่เคยนำโน้ตบุ๊กเข้ามา
เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนเธอเก็บโน้ตบุ๊ก เธอไปตั้งไว้ที่ไหน แล้วมันจะมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?