บทที่ 1098 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
คนขับรถรออยู่ที่หน้าประตูแล้วในตอนที่ลู่เซิ่นและหลินยังเดินออกมาจากบ้านตระกูลลู่
หลินหยังรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าลู่เซิ่นอารมณ์ไม่ดี
วันนี้ตอนเช้าตรู่ที่ออกมา ก็มีท่าทางเหมือนเมฆครึ้มปกคลุมอยู่บนใบหน้า เดิมคิดว่าหลินยี่ฟื้นขึ้นมาแล้วจะเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งที่จะทำให้อารมณ์ของลู่เซิ่นดีขึ้นเล็กน้อย
สุดท้ายหลังจากที่มาหาหลินยี่แล้ว อารมณ์ของลู่เซิ่นก็แย่ยิ่งกว่าเดิม
แต่สุดท้ายแล้วหลินหยังก็ไม่ได้ถามอะไรมากความ เพียงแต่เอ่ยเสียงเบาว่า “ผมโทรศัพท์บอกกับผู้ดูแลบ้านแล้วครับ เขาจะเก็บกระเป๋าที่รีสอร์ทชิงหยวนให้คุณ และให้คนขับรถที่รีสอร์ทชิงหยวนส่งกระเป๋าสัมภาระไปที่สนามบินเลย เครื่องบินเตรียมรออยู่ที่สนามบินเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถไปที่สนามบินและเดินทางได้เลยครับ”
หลินหยังรู้ว่าลู่เซิ่นรีบร้อน การทำวิธีนี้เหมือนกับทุกครั้งที่รีบร้อน เขาก็ทำเพียงแค่รายงานเท่านั้นเอง
คิดไม่ถึงเลยว่าลู่เซิ่นจะเอ่ยพูดออกมากะทันหัน
“ไม่ต้องให้คนขับรถของรีสอร์ทชิงหยวนเอาไปให้ ส่งฉันกลับไปเอาเองที่รีสอร์ทชิงหยวน”
“หือ” ยากที่หลินหยังจะมีท่าทางสับสน แต่ลู่เซิ่นไม่ได้มีท่าทีจะอธิบายให้เขารู้ เขาเพียงแค่พยักหน้ารับคำ “ได้ครับ ผมจะบอกกับผู้ดูแลบ้านให้”
คนขับรถหมุนพวงมาลัย มุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่งเงียบๆ
ลู่เซิ่นหลุบตาลง ไม่พูดอะไรอีก
ภายในรถเงียบสงบ
สมองของลู่เซิ่นนั้นยุ่งเหยิงอย่างไม่รู้จะทำอะไรก่อนหรือหลังดี
เขาเพิ่งจะรับปากหลินยี่ว่าจะไปช่วยเวินจิ้งออกมาจากคุกที่เมืองหนาน
อ้างอิงจากวิธีการทุกครั้งของเขา เขาจะต้องเลือกใช้วิธีที่รวดเร็วฉับไวอย่างการแต่งงานกับเวินจิ้งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นี้
แม้ว่าการประกอบธุรกิจหลักของตระกูลลู่จะไม่ได้อยู่ที่เมืองหนานแล้ว แต่อย่างไรก็ยังมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าตระกูลลู่ที่ยังอยู่ในเมืองหนานนั้น ล้วนเป็นเหล่าตาแก่ทั้งนั้น
เมื่อเวินจิ้งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลลู่ พวกเขาจะสามารถมองเวินจิ้งอยู่ในคุกตาปริบๆได้อย่างไร และก็ไม่สามารถให้เธอได้รับการพิจารณาตัดสินคดีอะไรด้วยเช่นกัน จำต้องใช้เส้นสายความสัมพันธ์ทั้งหมดเพื่อช่วยเวินจิ้งออกมาจากคุก
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ที่จริงลู่เซิ่นก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพียงแค่คิดหาวิธีโน้มน้าวให้เวินจิ้งแต่งงานกับเขาก็พอ ปัญหาทั้งหมดก็จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
เดิมเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ถ้าหากว่าเป็นลู่เซิ่นในอดีตนั้น เขาจะต้องไม่ลังเลที่จะเลือกวิธีนี้ทันทีเลยแม้แต่น้อย
แต่ลู่เซิ่นในตอนนี้ กลับลังเลแล้ว
ข้างกายเขานั้นมีฉินซีอยู่แล้ว
แม้ว่าจะเป็นแค่การค้าขาย แต่ก็ไม่ควรจะเสนอว่าต้องการแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอย่างตามใจเช่นนี้
ขอเพียงแค่มีพื้นฐานอย่างความเห็นอกเห็นใจล้วนคิดได้ สำหรับฉินซีแล้ว เรื่องแบบนี้จะเจ็บปวดทรมานขนาดไหน
แม้ว่าจะไม่ใช้วิธีการแบบนี้ ลู่เซิ่นอยากจะช่วยเวินจิ้งออกมา นั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหล่าตาแก่กลุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน
ลู่เซิ่นไม่ได้กังวลว่าจะพูดอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้อย่างไร เขารู้ว่าตอนนี้ตาแก่พวกนั้นต้องพึ่งพาเงินที่ตัวเองหามา ถึงจะใช้ชีวิตที่ใช้เงินล้างผลาญแบบนั้นของพวกเขาต่อไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าคัดค้านเงื่อนไขที่เขาพูดออกมา
แต่เงินทองและเส้นสายนั้นไม่ใช่ของอย่างเดียวกัน
ลู่เซิ่นจากเมืองหนานไปไกลมาหลายปี เส้นสายคนในเมืองหนานนั้นไม่เยอะ จะจัดการเรื่องราวอย่างเร่งรีบนั้น ต้องยืมมือของคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน
เพียงแต่เมื่อให้พวกเขาได้รับรู้แล้วว่า ตัวเองกำลังพยายามช่วยเหลือผู้หญิงคนหนึ่งอยู่……..นั่นก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากการขอเวินจิ้งแต่งงานแล้ว
เขารู้ว่าช่วงเวลานี้สูหยิงทุ่มเทสุดความสามารถในการประกาศว่าตอนนี้ตัวเองโสด ดังนั้นเรื่องที่ตัวเองเอาใจใส่ผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้ กลุ่มตาแก่ที่วันๆจ้องเรื่องงานแต่งงานของตัวเองจะต้องมีความคิดหลากหลายแง่มุมอย่างแน่นอน การรายงานของสูหยิงล้วนเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด ไม่กวนให้ทุกคนได้รับรู้ก็ถือว่าพวกเขาเห็นแก่หน้าแล้ว
เมื่อคนพูดมากๆ จากข่าวลือก็กลายเป็นความจริง สุดท้ายแล้วข่าวลือจะกลายเป็นแบบไหน ตัวลู่เซิ่นเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้
นี่ไม่สู้ขอเวินจิ้งแต่งงานตรงๆไปเลย
ลู่เซิ่นคิดแบบนี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก
ดังนั้นจนกระทั่งพวกเขากลับไปถึงรีสอร์ทชิงหยวน คิ้วของลู่เซิ่นก็ขมวดเป็นปมตั้งแต่ต้นจนจบ
มีเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ได้เห็นฉินซี ไม่เพียงแต่คิ้วของเขา แต่หัวใจทั้งดวงของเขาล้วนถูกบีบจนแหลกสลายแล้ว
แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น เขาทำได้เพียงแค่ให้คำสัญญาผิวเผินกับฉินซี
กระทั่งเขาในตอนนี้ก็ไม่มั่นใจว่าครั้งนี้ตัวเองจะจำเป็นต้องพูดคำพูดอะไรที่ไม่ได้ใจออกมาจากหัวใจกับผู้หญิงคนอื่นหรือไม่
……
เมื่ออยู่บนเครื่องบิน ใบหน้าของลู่เซิ่นก็แข็งค้างไปแล้ว
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินล้วนแล้วแต่ระมัดระวัง ท่าทางเหมือนกับว่าไม่กล้าหายใจแรง
ลู่เซิ่นคิ้วขมวดอ่านเอกสารอยู่หลายชั่วโมง
ช่วงเวลานี้ เขาล้วนไม่ได้พักผ่อนอะไรมากนัก นอนหลับก็แทบจะไม่เกินห้าชั่วโมง
คราวนี้เมื่ออยู่บนเครื่องบิน ความอ่อนเพลียก็ปรากฏออกมากะทันหัน
เขาวางเอกสารไว้อีกด้านหนึ่ง ให้แอร์โฮสเตสหยิบผ้าห่มมาผืนหนึ่ง และขี้เกียจจะกลับไปนอนหลับบนเตียงที่อยู่ด้านใน เอนเก้าอี้ลงแล้วก็นอนลงไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงเวลากลางวันคิดเรื่องเหล่านี้มากไปหรือไม่ กระทั่งเวลากลางคืนในขณะที่นอนหลับไปแล้วจึงได้ฝันถึงมันอีก เขาไม่เพียงแค่นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับฝันด้วย
ในความฝันสีหน้าฉินซีเย็นชามาก ยืนอยู่ในสถานที่ที่ใกล้จากเขาไม่กี่ก้าว ใบหน้าดูเลือนรางเล็กน้อย
“คุณไปแต่งงานกับเธอเถอะ” น้ำเสียงของฉินซีราบเรียบและเย็นชา เหมือนกับเคลือบไปด้วยน้ำแข็ง
ลู่เซิ่นไม่ทันได้พูดอะไร เธอก็หมุนตัวเดินจากไปแล้ว
ลู่เซิ่นอยากจะตามไป แต่ว่าขาทั้งสองข้างเหมือนกับถูกอะไรมัดเอาไว้ ออกแรงทั้งหมดแล้วก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ลู่เซิ่นร้อนใจเสียจนเหงื่อชื้นบริเวณขมับ แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่มีวิธีใดที่จะขยับได้
เขาทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม ดิ้นรนไป พลางมองแผ่นหลังของฉินซีที่ค่อยๆเลือนหายไป…….
ลู่เซิ่นลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่หัวใจของเขากลับเต้นอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง นี่เป็นเรื่องที่เขากังวลใจ
เขายังไม่ได้สติกลับคืนมา หน้าจอโทรศัพท์มือถือก็สว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน
คนที่โทรศัพท์มาไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นฉินซี
ลู่เซิ่นกำลังจะยื่นมือไปกดรับ แต่มือกลับหยุดอยู่กลางอากาศ
ความฝันเมื่อครู่นี้เหมือนจริงมากเกินไป คล้ายกับว่าคำพูดของฉินซียังคงดังอยู่ข้างหูเขา
“คุณไปแต่งงานกับเธอเถอะ”
มือของลู่เซิ่นหดกลับมาอย่างกะทันหัน
จนกระทั่งสายโทรศัพท์ที่ฉินซีโทรมาหยุดลง เขาก็ไม่ได้รับ
สุดท้ายแล้ว ก็เป็นหลินหยังที่หยิบโทรศัพท์มือถือโทรมาถาม
ลู่เซิ่นก็ไม่ได้ให้เขารับเช่นกัน
ตอนนี้เขาค่อยๆมีสติขึ้นมาแล้ว แต่ความกังวลในใจนั้นกลับมากกว่าเดิม
ทำไมฉินซีถึงโทรศัพท์มาในตอนนี้
เธอรู้แท้ๆว่าตัวเองไปเมืองหนาน ตอนนี้จะต้องอยู่บนเครื่องบินอย่างแน่นอน ทำไมถึงได้โทรศัพท์มากะทันหันกัน
หรือว่า……เธอรู้ว่าตัวเองไปเมืองหนานทำไมแล้วหรือ
ลู่เซิ่นมีชีวิตมานานขนาดนี้ ไม่เคยสนใจสีหน้าของคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่รู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง
เพียงแต่โชคดีที่ฉินซีไม่ได้โทรศัพท์มาอีก
ลู่เซิ่นโล่งใจและกลุ้มใจเล็กน้อย
จ้องมองโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เขาถึงได้ตัดสินใจอย่างลำบาก
เขาจะพูดเรื่องแต่งงานกับเวินจิ้ง
อย่างน้อยแบบนี้ เขาก็สามารถกรรมสิทธิ์ของการเป็นผู้นำเอาไว้ในมือตัวเอง รอให้เวินจิ้งไปจากเมืองหนานกับเขาแล้ว เขาค่อยพูดเรื่องทั้งหมดกับเวินจิ้งให้ชัดเจน แบบนี้ถึงจะสามารถลดระดับความเข้าใจผิดให้น้อยลงได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ตาแก่พวกนั้นพูดจูงไปจูงมา
ถ้าหากว่าไม่สามารถควบคุมความเห็นทางสังคมได้ และถูกฉินซีรู้เข้า อย่างนั้นเขาจะเสียใจในภายหลังก็สายเกินไปแล้วจริงๆ